วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประวัติศาสตร์จีน

สามราชาห้าจักรพรรดิ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประวัติศาสตร์จีน
ประวัติศาสตร์จีน
ยุคโบราณ
สามราชาห้าจักรพรรดิ
ราชวงศ์เซี่ย 2100–1600 BCE
ราชวงศ์ซาง 1600–1046 BCE
ราชวงศ์โจว 1045–256 BCE
  ราชวงศ์โจวตะวันตก 1046–771 BCE
  ราชวงศ์โจวตะวันออก 771–256 BCE
   ยุควสันตสารท
   ยุครณรัฐ
ยุคจักรวรรดิ
ราชวงศ์ฉิน 221 BCE–206 BCE
ราชวงศ์ฮั่น 206 BCE–220 CE
  ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
  ราชวงศ์ซิน
  ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
ยุคสามก๊ก 220–280
  เว่ย สู่ และ หวู
ราชวงศ์จิ้น 265–420
  จิ้นตะวันตกยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น 304–439
  จิ้นตะวันออก
ราชวงศ์เหนือ-ใต้ 420–589
ราชวงศ์สุย 581–618
ราชวงศ์ถัง 618–907
  ( ราชวงศ์อู่โจว 690–705 )
ยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร
907–960
ราชวงศ์เหลียว
907–1125
ราชวงศ์ซ่ง
960–1279
  ราชวงศ์ซ่งเหนือเซี่ยตะวันตก
  ราชวงศ์ซ่งใต้จิน
ราชวงศ์หยวน 1271–1368
ราชวงศ์หมิง 1368–1644
ราชวงศ์ชิง 1644–1911
ยุคใหม่
สาธารณรัฐจีน 1912–1949
สาธารณรัฐประชาชนจีน(จีนแผ่นดินใหญ่1949–ปัจจุบันสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน)
1949–ปัจจุบัน
จัดการ: แม่แบบ  พูดคุย  แก้ไข

สามราชาห้าจักรพรรดิ (จีน三皇五帝พินอินSānhuáng wǔdìเวด-ไจลส์San-huang wu-tiอังกฤษThree Sovereigns and Five Emperors) เป็นกลุ่มผู้ปกครองบ้านเมืองจีนโบราณช่วงประมาณ 2852 ก่อนคริสตกาล[1] ถึง 2070 ปีก่อนคริสตกาล เมื้อสิ้นสมัยนี้แล้วเป็นยุคราชวงศ์เซี่ย[2]
ตามความเชื่อ ราชาทั้งสามเป็นกึ่งเทวะซึ่งใช้อำนาจสร้างสรรค์มนุษยชาติและถ่ายทอดความรู้ความสามารถ ส่วนจักรพรรดิทั้งห้าเป็นปรัชญาเมธีซึ่งทรงคุณธรรมล้ำเลิศ

ราชวงศ์เซี่ย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
夏朝
ราชวงศ์เซี่ย
อาณาจักร
 ประมาณ 2070 ก่อนคริสตกาล–ประมาณ 1600 ก่อนคริสตกาล 
ที่ตั้งของราชวงศ์เซี่ย
เมืองหลวงหยางเฉิง
ภาษาจีน
ศาสนาศาสนาพื้นบ้านจีน
รัฐบาลระบบกษัตริย์, ระบบเจ้าขุนมูลนาย
ประวัติศาสตร์
 - สถาปนาราชวงศ์เซี่ย โดยพระเจ้าอวี่ประมาณ 2070 ก่อนคริสตกาล
 - พระเจ้าฉี่ขึ้นครองราชย์ประมาณ 2025 ก่อนคริสตกาล
 - พระเจ้าเจี๋ยถูกขับออกจากราชบัลลังก์ประมาณ 1600 ก่อนคริสตกาล
 - สิ้นสุดประมาณ 1600 ก่อนคริสตกาล
สกุลเงินเบี้ยเหรียญจีน

เขตแดนราชวงศ์เซี่ย (สีเหลือง)

ราชวงศ์เซี่ย (ภาษาอังกฤษ : Xia Dynasty) (ภาษาจีนกลาง : 夏朝) (พินอิน : xià cháo) เป็นราชวงศ์แรกของจีน ปกครองประเทศจีนในช่วง 2100-1600 ปีก่อนคริสตกาล มีอายุอยู่ได้ราว 500 ปี ในอดีตนักวิชาการและบุคคลโดยทั่วไปเชื่อว่าเรื่องราวของราชวงศ์เซี่ยเป็นเพียงเรื่องแต่งหรือปรัมปราที่เล่าสืบต่อกันมา แต่ปัจจุบันมีการขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เชื่อถือได้
ในปี ค.ศ. 1959 ได้เริ่มมีการค้นหาแหล่งที่มาของวัฒนธรรมเซี่ย โดยช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เริ่มดำเนินการขุดค้นและตรวจสอบทางโบราณคดีรูปแบบต่างๆ ในพื้นที่แถบตะวันตกของเหอหนานและทิศใต้ของมณฑลซานซี เพื่อลดขอบเขตพื้นที่เป้าหมายในการค้นหาให้แคบเข้า ปัจจุบัน มีนักวิชาการจำนวนมากเห็นว่า วัฒนธรรมเอ้อหลี่โถว (二里头文化) จากหลุมขุดค้นเหยี่ยนซือเอ้อหลี่โถวและวัฒนธรรมหลงซาน (龙山文化) ในเขตตะวันตกของมณฑลเหอหนานนั้น น่าจะเป็นวัฒนธรรมในสมัยเซี่ย แต่เนื่องจากยังขาดหลักฐานทางตรงและหลักฐานที่เป็นตัวอักษร ดังนั้นปัจจุบันนี้ จึงยังคงไม่อาจระบุชัดว่าสิ่งที่ขุดค้นได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเซี่ยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่พบในวัฒนธรรมหลงซานและวัฒนธรรมเอ้อหลี่โถว ก็ทำให้มีข้อมูลมากพอที่จะช่วยเสริมความรู้ที่ขาดหายไปในช่วงเวลานี้เป็นอย่างดี
จากบันทึกของซือหม่าเซียน ทำให้นักประวัติศาสตร์จีนมักเริ่มนับราชวงศ์เซี่ยโดยเริ่มจากเซี่ยหวี่ (夏禹) หรือพระเจ้ายู้ ถึงลวี่กุ่ย (履癸) หรือเซี่ยเจี๋ย (夏桀) ในระยะเวลา 400 กว่าปี มีกษัตริย์ครองบัลลังก์ 17 พระองค์ มีการสืบทอดอำนาจถึง 14 ชั่วคน
การก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยซึ่งมีรากฐานของอำนาจจากการยึดครองทรัพย์สินเป็นของส่วนตัว เป็นสัญญาณว่าสังคมยุคดึกดำบรรพ์ที่ทรัพย์สินเป็นของสาธารณะอันยาวนาน กำลังถูกแทนที่ด้วยสังคมแบบยึดครองทรัพย์สินส่วนตัว และนี่ก็เป็นวิวัฒนาการในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาหนึ่ง ทว่า โดยปกติการก่อเกิดของระบบใหม่ มักต้องเผชิญกับแรงต้านจากฝ่ายอนุรักษ์ เมื่อเซี่ยฉี่ (夏启) บุตรของเซี่ยหวี่เข้ารับสืบทอดตำแหน่งของบิดา (禹) ก็ได้เชิญบรรดาหัวหน้าชนเผ่าจากดินแดนต่างๆ มาร่วมในงานเลี้ยง เพื่อรับรองการขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่ของตน
กลุ่มฮู่ซื่อ (扈氏) ไม่พอใจเซี่ยฉี่ ที่ยกเลิกระบบการคัดสรรผู้มีความสามารถเพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำที่มีอยู่เดิม จึงไม่ได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงนั้น เซี่ยฉี่จึงยกกองทัพออกไปปราบฮู่ซื่อ โดยทำศึกกันที่กาน (甘) ฮู่ซื่อพ่ายแพ้ถูกลบชื่อออกไป ชัยชนะจากการรบครั้งนี้ ทำให้ก้าวแรกของระบบอำนาจใหม่นี้แข็งแรงขึ้น
ระบบการปกครองแบบใหม่นี้ค่อยๆ พัฒนาขึ้น ขณะที่ผู้ปกครองคนใหม่ ต้องเผชิญปัญหาการขาดประสบการณ์ในการปกครอง รากฐานของอำนาจที่มาจากการยึดครองทรัพย์สินเป็นของส่วนตัว ในช่วงระยะของการฟูมฟักของการก้าวขึ้นสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ สภาพการขูดรีด แย่งชิง และความกระหายในการเสพสุขของผู้ปกครองก็ยังเป็นไปอย่างรุนแรง และย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการแย่งชิงผลประโยชน์และอำนาจในกลุ่มผู้ปกครองด้วยกันเองได้
ดังนั้น เมื่อเซี่ยฉี่ตายลง บุตรชายของเขาทั้งห้าคนก็แย่งชิงอำนาจกัน ผลคือเมื่อไท่คัง (太康) ได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากฉี่ (ครองราชย์ 29 ปี) ก็ไม่สนใจดูแลกิจการงานเมือง เฝ้าหมกมุ่นอยู่กับสุรานารี ต่อมาจึงถูกอี้ (羿) ซึ่งเป็นผู้นำของรัฐฉง (穷氏) สบโอกาสเข้าแย่งชิงอำนาจ ภายหลังเมื่ออี้ถูกขุนนางของเขาที่ชื่อหานจั๋ว (寒浞) สังหารแล้ว เส้าคัง (少康) (ครองราชย์ 21 ปี) บุตรชายของไท่คังซึ่งหลบหนีไปรัฐโหย่วหวี (有虞氏) ได้รับความช่วยเหลือจากโหย่วหวี รวบรวมขุมกำลังเก่าของเซี่ยขึ้นใหม่ แล้วอาศัยช่วงเวลาที่ภายในของกลุ่มหานจั๋วเกิดความวุ่นวาย เข้าช่วงชิงอำนาจเพื่อกอบกู้ราชวงศ์เซี่ยกลับคืนมา
นี่คือเหตุการณ์ที่เป็นหลักหมายทางประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์เซี่ย ที่เรียกขานกันต่อมาว่า "ไท่คังเสียเมือง " (太康失国) "อี้ยึดครองเซี่ย" (后羿代夏) และ "เส้าคังฟื้นฟูเซี่ย" (少康中兴)
เมื่อถึงปลายราชวงศ์ ศูนย์อำนาจภายในเกิดความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกไม่หยุดยั้ง ข้อขัดแย้งทางชนชั้นทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อเซี่ยเจี๋ย (夏桀) ได้ขึ้นครองบัลลังก์ (ช่วงก่อนคริสต์ศักราช 1,763 ปี ครองราชย์ 52 ปี) ก็ไม่คิดจะปฏิรูปแก้ไขสิ่งใด ยังคงเห่อเหิมฟุ้งเฟ้อในอำนาจ โดยสั่งให้ก่อสร้างตำหนักพระราชวัง ใช้จ่ายเงินทองฟุ่มเฟือยมากมาย มัวเมาอยู่กับสุรานารี โดยไม่สนใจใยดีต่อความทุกข์ยากของเหล่าประชาราษฎร์พากันก่นด่าประณาม เหล่าขุนนางที่จงรักภักดี กลับถูกสั่งคุมขังหรือประหารชีวิต บรรดาเจ้านายชั้นสูงต่างก็พากันเอาใจออกห่าง เซี่ยเจี๋ยจึงตกอยู่ในฐานะโดดเดี่ยว ซางทัง (商汤) ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ต่อมาคือราชวงศ์ซาง เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงใช้ข้ออ้างว่า "ฟ้ากำหนด" กล่าวหาว่าเซี่ยทำผิดต่อฟ้า จึงต้องถูกลงทัณฑ์ โดยขอให้ทุกคนรวมพลังกันเข้าโจมตี เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์แห่งฟ้า การศึกระหว่างซางทังและเซี่ยเจี๋ยที่หมิงเถียว (鸣条) ซางทังชนะ เจี๋ยหลบหนีไป และเสียชีวิตที่หนานเฉา ราชวงศ์เซี่ยจึงถึงกาลอวสาน

ดูเพิ่ม[แก้]




ราชวงศ์ซาง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ราชวงศ์ซาง
อาณาจักร
 ประมาณ 1600 ก่อนคริสตกาล–ประมาณ 1046 ก่อนคริสตกาล 
ที่ตั้งของราชวงศ์ซาง
เมืองหลวงอินซฺวี
ภาษาภาษาจีนเก่า
ศาสนาศาสนาพื้นบ้านจีน
รัฐบาลราชาธิปไตยระบบเจ้าขุนมูลนาย
ยุคประวัติศาสตร์ยุคสัมฤทธิ์
 - สถาปนาประมาณ 1600 ก่อนคริสตกาล
 - ยุทธการมู่เหย่ประมาณ 1046 ก่อนคริสตกาล
 - สิ้นสุดประมาณ 1046 ก่อนคริสตกาล
สกุลเงินเบี้ย, เหรียญจีน
ราชวงศ์ซาง (จีนพินอินShāng cháoอังกฤษShang dynasty) เป็นราชวงศ์จีนที่ปกครองต่อจากราชวงศ์เซี่ย ปกครองดินแดนแถบแม่น้ำเหลืองเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาล บางครั้งเรียกว่า "ราชวงศ์อิน" (Yin dynasty) ราชวงศ์นี้เป็นยุคแห่งไสยศาสตร์โดยแท้ นิยมการเสี่ยงทายด้วยกระดองเต่ากันมาก จากหลักฐานที่ขุดได้ พบเป็นแผ่นจารึกตัวอักษรโบราณ และเศษกระดองเต่า มีรอยแตกอยู่ทั่วไป แสดงถึงความเชื่อในอำนาจแห่งสวรรค์ ถือว่าทุกสิ่ง สวรรค์เป็นผู้กำหนด ราชวงศ์ซางมีกษัตริย์ 30 องค์ กษัตริย์องค์สุดท้ายชื่อ พระเจ้าอินโจวหรือ โจ้ว (ติวอ๋อง) ซึ่งในประวัติศาสตร์ประณามไว้ว่า เป็นคนโหดร้ายทารุณมาก นิยมการสงคราม และหลงใหลในอิสตรี โดยเฉพาะสนมเอกชื่อ ต๋าจี หรือขันกี ซึ่งเป็นคนวิปริตผิดมนุษย์ คอยยุยงให้โจ้วฆ่าคนเป็นผักปลา สร้างสระเหล้าดงเนื้อขึ้น (เอาน้ำเหล้ามาใส่ในสระ แล้วเอาเนื้อสัตว์มาห้อยไว้ตามต้นไม้) ต่อมาโจวอู่หวัง เจ้าผู้ครองแคว้นโจวทางตะวันตก ได้ยกทัพมาปราบโจ้วอ๋อง โดยอ้างว่า ได้รับ "อาณัติ" หรือ "เทียนมิ่ง" จากสวรรค์ให้มาปราบ และได้ชัยชนะ โจ้วอ๋องจึงฆ่าตัวตายโดยกระโดดลงกองไฟ แต่จริง ๆ แล้ว นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนัก ว่าโจ้วอ๋องจะโหดร้ายเช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจน รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับต๋าจีด้วย



ราชวงศ์โจว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ราชวงศ์โจว (周朝)
ยุคของราชวงศ์โจวราชวงศ์โจวตะวันตกราชวงศ์โจวตะวันออก
เมืองหลวงของราชวงศ์โจวซีอานโลหยาง
จักรพรรดิ
 -จักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์โจวโจวตะวันตกและโจวตะวันออก
 -จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์โจวตะวันตกและโจวตะวันออก
12องค์
โจวอู่หวัง
โจวอิวหวัง
12องค์
โจวผิงหวัง
โจวฮุ่ยหวังที่2
ยุคสมัยของการก่อตั้งราชวงศ์โจวตะวันตกและราชวงศ์โจวตะวันออก1046771
ยุคสมัยของการล่มสลายราชวงศ์โจวตะวันตกและราชวงศ์โจวตะวันออก771256

ราชวงศ์โจว
 หรือ ราชวงศ์จิว (ภาษาอังกฤษ:Zhou Dynasty, ภาษาจีนกลาง:周朝, พินอิน: Zhōu Cháo) ราชวงศ์ที่ 3 ในประวัติศาสตร์จีน เริ่มประมาณ 1123 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช นับเป็นราชวงศ์ที่ยาวนานที่สุด ด้วยเวลาที่ยาวนานกว่า 867 ปี มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่นการสู้รบระหว่างแว่นแคว้น การกำเนิดของปรัชญาเมธีหลายท่าน เช่น ขงจื๊อเล่าจื๊อซุนวู เป็นต้น ในยุคชุนชิวสำหรับความหมายอื่น ดูที่ ราชวงศ์โจว (แก้ความกำกวม)

กำเนิดราชวงศ์โจว[แก้]


เขตแดนราชวงศ์โจว ยุคราชวงศ์โจวตะวันตก (ราว 1050 ปีก่อนคริสต์ศักราช – 771 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
โจวอู่หวัง ได้โค่นราชวงศ์ซางลงแล้ว ได้ตั้งราชวงศ์โจวขึ้นแทน ได้เริ่มการปกครองด้วยระบบศักดินา คือแยกแผ่นดินออกเป็นแคว้นต่าง ๆ แล้วส่งเชื้อพระวงศ์แซ่ "จี" ของพระองค์ให้เป็น" อ๋อง" ไปปกครอง โดยพระองค์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ในยุคของราชวงศ์นี้สร้างความเจริญให้แก่บ้านเมืองมาก ทั้งด้านการเมือง การปกครอง ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ แต่มีช่วงเวลา ที่เข้มแข็งจริง ๆ คือราว ๆ 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันตก หรือ ซีโจว (Western Zhou) ที่มีเมืองหลวง คือ เฮ่าจิง
ต่อมา สมัยของโจวอิวหวาง กษัตริย์องค์ที่ 12 ซึ่งหลงใหลมเหสีมาก มเหสีมีนามว่า เปาสี กล่าวกันว่านางเป็นคนสวยมาก แต่เป็นคนยิ้มไม่เป็น ทำให้โจวอิวหวางกลุ้มใจมาก ถึงกับตั้งรางวัลไว้พันตำลึง สำหรับผู้ที่ออกอุบายให้นางยิ้มได้ วันหนึ่ง คิดอุบายได้ด้วยการจุดพลุให้อ๋องต่าง ๆ เข้าใจว่า ข้าศึกบุกเมืองหลวงแล้ว เมื่อยกทัพมาถึงกลับไม่มีอะไร ทำให้เปาสียิ้มหัวเราะออกมาได้ แต่อ๋องต่าง ๆ โกรธมาก แล้วในที่สุด ก็มีข้าศึกยกมาตีเมืองหลวงจริง ๆ โจวอิวหวางได้จุดพลุขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีอ๋องคนไหนเชื่อ เลยไม่มีใครยกทัพมาช่วย ข้าศึกจึงตีเมืองได้ โจวอิวหวางถูกฆ่าตาย นางเปาสีถูกจับตัวไป ยิ้มของนางต่อมาถูกเรียกว่า "ยิ้มพันตำลึงทอง" ซึ่งเป็นยิ้มที่นำความวิบัติ มาสู่ราชวงศ์โจวโดยแท้ ต่อมา พวกอ๋องต่าง ๆ ได้ยกทัพมาช่วยตีข้าศึก แล้วตั้งโจวผิงหวาง โอรสของโจวอิวหวาง เป็นกษัตริย์ต่อไป ราชวงศ์โจวจึงต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง ในปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ทางตะวันออก เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันออก หรือ ตงโจว (Eastern Zhou) หลังจากนั้น ราชวงศ์โจวก็บัญชาอ๋องต่าง ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากอ๋องต่าง ๆ ต่างแข็งเมืองและรบกันเองระหว่างแว่นแคว้นเพื่อต้องการเป็นใหญ่

ยุคชุนชิวและยุคจ้านกว๋อและราชวงศ์โจวล่มสลาย[แก้]

ยุคชุนชิว
ชุนชิวเป็นยุคที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แคว้นต่าง ๆ ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันเกิดสงครามระหว่างแคว้นผู้คนเดือดร้อนทุกข์ยากทำให้นักปราชญ์มีโอกาส เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และการปกครอง เพราะผู้คนในเวลานั้นต่างก็ต้องการที่พึ่ง ผู้ปกครองก็ต้องการแม่ทัพผู้ปราชญ์เปรื่อง จึงทำให้มีผู้คนมากมายรับฟังนักปราชญ์ อย่างขงจื้อ เล่าจื่อ และซุนวูผู้เขียนพิชัยสงคราม


ราชวงศ์ฉิน (อังกฤษQin Dynastyอักษรจีน秦朝พินอินQín Cháo) หรือจิ๋น เป็นราชวงศ์ที่ปกครองแผ่นดินจีนระหว่าง พ.ศ. 323พ.ศ. 338 (221 ปีก่อนค.ศ. – 207 ปีก่อนค.ศ.) ก่อนหน้านี้จีนได้แตกแยกออกเป็น 7 รัฐและทำสงครามกันอยู่เนืองๆ ต่อมากษัตริย์แห่งรัฐฉินได้ทำสงครามรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว และสถาปนาตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฉินโดยใช้พระนามว่า ฉินสื่อหวงตี้ คนไทยจึงออกเสียงเพี้ยนเป็น จิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ ฉินซีฮ่องเต้ จิ๋นซีฮ่องเต้ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 322พ.ศ. 333 ในช่วงนี้แผ่นดินจีนมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาก แต่เมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ราชวงศ์ฉินก็สั่นคลอนอย่างหนัก และล่มสลายลงใน พ.ศ. 337
อ๋องแห่งรัฐฉิน ได้รวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียวเป็นครั้งแรก และสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ (ฮ่องเต้) คือ จิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ ฉินซีฮ่องเต้ นั่นเอง นครหลวงอยู่ที่เมืองเสียนหยาง (หรือซีอานในปัจจุบัน) ฉินอ๋องได้หาชื่อใหม่ให้ตนเอง เนื่องจากเห็นว่า ตนสามารถรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้ คำว่า อ๋อง ไม่ยิ่งใหญ่พอ จึงได้เลือกคำว่า หวงตี้ (ฮ่องเต้) ซึ่งแปลว่า "เจ้าแผ่นดิน หวาง หรือ อ๋อง แปลว่า เจ้า ตี๋ลี่ หรือ ตี้ แปลว่า แผ่นดิน" มาใช้ แล้วเรียกชื่อตน ตามชื่อราชวงศ์ว่า ฉินซีฮ่องเต้ ฮ่องเต้เรียกตัวเองว่า "เจิ้น" (เดิมเรียกว่า "กู" ) เป็นการเปิดฉากโอรสแห่งสวรรค์ครองเมือง มีการปฏิรูประบบตัวอักษร ระบบชั่ง, ตวง, วัด (เช่น เพลารถ) ให้เหมือนกันทั้งประเทศ (สำหรับตัวอักษรนั้น อ่านออกเสียงต่างกันได้ แต่จะต้องเขียนเหมือนกัน เช่นเลข 1 เขียนด้วยขีดแนวนอนขีดเดียว จีนกลางออกเสียงว่า "อิ๊" แต่แต้จิ๋วอ่านว่า "เจ๊ก") และแบ่งการปกครองเป็นระบบจังหวัด, อำเภอ นับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ต่อมาฉินซีฮ่องเต้ได้ให้ขุนศึกเหมิงเถียนหรือเม่งเถียน ยกทัพไปปราบชนเผ่าซ่งหนู (เฉียนหนู) แล้วก่อสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้น เพื่อป้องกันการรุกรานของอนารยชน
ฉินซีฮ่องเต้ ได้ชื่อว่า เป็นทรราชที่โหดร้ายทารุณมาก ปกครองด้วยความเฉียบขาด อำมหิต กล่าวกันว่า แค่มีคนจับกลุ่มคุยกัน ก็จะถูกจับไปประหารทันที ข้อหาให้ร้ายราชสำนัก มีการยัดเยียดข้อหาแล้วประหารทั้งโคตร การประหารมีทั้งตัดหัว, ตัดหัวเสียบประจาน หรือ "ห้าม้าแยกร่าง" (เอาเชือกมัดแขนขาไว้กับม้าหรือรถม้า 5 ทิศ แล้วให้ม้าควบไป ฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ) และกรณีที่อื้อฉาวมากคือ การเผาตำราสำนักขงจื๊อ แล้วจับบัณฑิตสำนักขงจื๊อสังหารหมู่ ด้วยการเผาทั้งเป็น, ฝังทั้งเป็น หรือฝังดินแล้วตัดหัว แม้แต่รัชทายาทฝูซู (พระโอรสองค์โต) ยังถูกเนรเทศไปชายแดน ไป "ช่วย" เหมิงเถียนสร้างกำแพงเมืองจีน ด้วยข้อหา ขัดแย้งกับพระองค์ จึงมีคนหาทางปลงพระชนม์ตลอดเวลา แม้แต่พระสหายที่สนิทก็ตาม นอกจากนี้ พระองค์ยังกลัวความตายมาก พยายามเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะมาทุกวิถีทาง แต่สุดท้าย ฉินซีฮ่องเต้ก็ป่วยหนัก และสิ้นพระชนม์ลง ในระหว่างที่ออกตามหายาอายุวัฒนะ ในแดนทุรกันดารนั่นเอง และได้มีพระราชโองการเรียกฝูซู รัชทายาทกลับมา เพื่อสืบราชบัลลังก์ (โอรสองค์นี้มีนิสัยอ่อนโยนกว่าบิดา และยังเก่งกาจอีกด้วย จึงเป็นที่คาดหวังจากราษฎรเป็นอย่างมาก) แต่หูไห่ โอรสอีกองค์ ได้ร่วมมือกับเจ้าเกา ขันทีและอัครเสนาบดี และหลี่ซือ ปลอมราชโองการ ให้ฝูซูและเหมิงเถียนฆ่าตัวตาย แล้วตั้งหูไห่เป็นฮ่องเต้องค์ถัดมา เรียกว่า พระเจ้าฉินที่สอง หรือฉินเอ้อซื่อ ซึ่งเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยม แต่ไร้สามารถ ผิดกับพระบิดา แถมยังอยู่ใต้การชักใยของขันทีเจ้าเกา ทำให้ราชวงศ์ฉินล่มจม หูไห่ได้ใช้เงินทองจำนวนมหาศาล ในการก่อสร้างสุสานของฉินซีฮ่องเต้ และยังรีดภาษีจากราษฎรอีก ทำให้ประชาชนก่อกบฏขึ้น
ในเวลานั้น มีกบฏอยู่หลายชุด มีข้อตกลงกันว่า หากใครบุกเข้าทางกวนจง ของราชวงศ์ฉินได้ก่อน จะได้เป็นใหญ่ หลิวปัง ได้ก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์ฉินขึ้น และได้ผู้ช่วยมือดีมา 3 คน คือ หานซิ่น จางเหลียง และเซียวเหอ มาช่วยในการวางแผนรบ และประสานงานต่างๆ จึงโค่นราชวงศ์ฉินลงได้ โดยเจ้าเกาได้ฆ่าหลี่ซือ ปลงพระชนม์หูไห่ แล้วตั้งจื่ออิง หลานของหูไห่เป็นฮ่องเต้แทน แต่เจ้าเกาก็ถูกจื่ออิงฆ่าตาย จื่ออิงยอมสวามิภักดิ์ต่อหลิวปัง เวลาเดียวกัน เซี่ยงอี้ ได้ละเมิดข้อตกลง โดยตั้งตัวเป็นซีฉู่ป้าอ๋อง หรือฌ้อป้าอ๋อง (แปลว่า อ๋องแห่งแคว้นฉู่ ที่ยิ่งใหญ่เหนืออ๋องอื่นๆ ว่ากันว่า เซี่ยงอี้นิยมสงคราม และคิดจะทำให้แผ่นดินแตกแยก กลับไปสู่ยุคจ้านกว๋ออีกครั้ง) เซี่ยงอี้ได้เผาพระราชวังอาฝางกงของฉินซีฮ่องเต้ ปลงพระชนม์จื่ออิง แล้วสู้รบกับหลิวปัง การสู้รบได้ยืดเยื้ออยู่นาน เซี่ยงอี้คิดจะแบ่งแผ่นดินปกครองกับหลิวปัง แต่ในที่สุด หลิวปังได้ยกทัพเข้าสู้รบขั้นเด็ดขาด ทำให้เซี่ยงอี้ต้องฆ่าตัวตายในที่สุด
เรื่องราวสมัยราชวงศ์ฉิน มีอยู่ในวรรณกรรมไซ่ฮั่น ซึ่งกล่าวถึงการสิ้นสุดราชวงศ์ฉินและการสถาปนาราชวงศ์ฮั่น
ปัจจุบัน ราชวงศ์ฉินได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์ให้เป็นราชวงศ์แรกของจีน ด้วยมีหลักฐานทางโบรารคดีและประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการมากที่สุดและแผ่นดินก็ยงได้ถูกรวมเป็นหนึ่งครั้งแรก และยกให้ จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีนด้วย ด้วยคำว่า "China" ในภาษาอังกฤษ หรือคำว่า "จีน" ในภาษาไทยก็ล้วนเพี้ยนมาจากคำว่าฉินนี้ทั้งสิ้น

าชวงศ์ฮั่นตะวันตก (206 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220)[แก้]

ราชวงศ์ฮั่นสถาปนาโดยหลิวปังหรือจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ ซึ่งถือเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่องค์ที่ 2 ของชนชาติจีนที่สามารถรวมประเทศจีนเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ราชวงศ์ฮั่นแบ่งเป็น 2 ช่วง ราชวงศ์ฮั่นตอนต้นมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่นครฉางอันจึงได้รับการขนานนามว่าฮั่นตะวันตก เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลายได้ย้ายเมืองหลวงมายังนครลั่วหยังเรียกว่าฮั่นตะวันออก
หลิวปังผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นนั้น แต่เดิมเป็นเพียงชนชั้นขุนนางผู้น้อย เมื่อฉินสื่อหวงตี้หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ในราชวงศ์ฉินสิ้นพระชนม์ลง อำนาจของราชวงศ์ฉินเริ่มคลอนแคลน มีการลุกฮือขึ้นก่อการจากกบฏชาวนาและบรรดาเชื้อสายเจ้าผู้ครองแคว้นเดิม มีการตั้งตัวเป็นใหญ่ในทุกหัวระแหง หลิวปังก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่เพาะสร้างอำนาจขึ้นจากขุมกำลังเล็ก ๆ ต่อมาได้กรีฑาทัพเข้านครเสียนหยาง อยู่ใกล้กับเมืองซีอานในปัจจุบัน ปิดฉากยุคสมัยของราชวงศ์ฉิน และส่งมอบนครเสียนหยางให้กับเซี่ยงอี่ว์หรือฌ้อปาอ๋องซึ่งมีฐานอำนาจอยู่ในแคว้นฉู่และมีขุมกำลังเข้มแข็งที่สุดในขณะนั้น หลิวปังจึงได้รับการอวยยศขึ้นเป็นฮั่นจงอ๋อง หลังจากสะสมกำลังพลกล้าแกร่งขึ้น จึงเปิดศึกแย่งชิงบัลลังก์กับเซี่ยงหวี่ การศึกครั้งนั้นได้รับการขนานนามว่า สงครามฉู่ฮั่น กินเวลานาน 4 ปี
ปี 202 ก่อนคริสต์ศักราช หลิวปังได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิ สถาปนาราชวงศ์ฮั่นระบบบริหารการปกครองของราชวงศ์ฮั่นโดยรวมแล้วยังคงยึดรูปแบบเช่นเดียวกับราชวงศ์ฉิน แต่เนื่องจากราชวงศ์ฉินที่ปกครองอย่างเข้มงวดเป็นเหตุให้ล่มสลายอย่างรวดเร็ว ฮั่นเกาจู่ จึงประกาศยกเลิกกฎหมายที่ทารุณโหดร้ายบางส่วน อีกทั้งดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรต่อประชาชน เช่น ลดการเก็บภาษีอากรและการเกณฑ์แรงงาน ปลดปล่อยกำลังทหารและประชาชนสู่บ้านเกิดของตน จัดสรรที่ดินทำกินให้กับบรรดาทหารที่ร่วมรบชนะศึกสงคราม อีกทั้งพระราชทานรางวัลเป็นเสบียงอาหารและตำแหน่งทางราชการ นอกจากนี้ ยังเข้าควบคุมพ่อค้าที่ร่ำรวย ไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ผืนดินที่ทำการเพาะปลูกได้รับการทำนุบำรุงอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้สภาพสังคมได้มีเวลาในการฟื้นฟูและจัดระเบียบใหม่ และกลับสู่ความสงบสุขที่เคยเป็นจวบจนรัชสมัยของเหวินตี้ และจิ่งตี้ ในอีกกว่า 60 ปีให้หลัง ก็ยังคงให้ความสำคัญกับเกษตรกรรม มีการจัดเก็บภาษีแต่น้อยและเกณฑ์แรงงานต่ำ สภาพเศรษฐกิจและสังคมได้รับการเยียวยาจนกระทั่งเริ่มมีความเจริญรุดหน้า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกลือ ธุรกิจเหล็กกล้า งานหัตถกรรม และการค้าขายต่างก็ขยับขยายเติบโตขึ้น
เนื่องจากในช่วงต้นราชวงศ์ฮั่นได้มีการปูนบำเหน็จให้กับบรรดาขุนนางและเจ้านายเชื้อพระวงศ์จำนวนมาก ดังนั้นอำนาจของเจ้านายเหล่านี้จึงนับวันจะแกร่งกล้าขึ้น ในรัชสมัยจิ่งตี้จึงเกิดเหตุการณ์ ‘กบฏ7แคว้น’ขึ้น หลังจากกบฏถูกปราบราบคาบลง อิทธิพลอำนาจของเหล่าขุนนางก็อ่อนโทรมลง อำนาจจากส่วนกลางเข้มแข็งขึ้น
ประวัติศาสตร์จีน
ประวัติศาสตร์จีน
ยุคโบราณ
สามราชาห้าจักรพรรดิ
ราชวงศ์เซี่ย 2100–1600 BCE
ราชวงศ์ซาง 1600–1046 BCE
ราชวงศ์โจว 1045–256 BCE
  ราชวงศ์โจวตะวันตก 1046–771 BCE
  ราชวงศ์โจวตะวันออก 771–256 BCE
   ยุควสันตสารท
   ยุครณรัฐ
ยุคจักรวรรดิ
ราชวงศ์ฉิน 221 BCE–206 BCE
ราชวงศ์ฮั่น 206 BCE–220 CE
  ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
  ราชวงศ์ซิน
  ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
ยุคสามก๊ก 220–280
  เว่ย สู่ และ หวู
ราชวงศ์จิ้น 265–420
  จิ้นตะวันตกยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น 304–439
  จิ้นตะวันออก
ราชวงศ์เหนือ-ใต้ 420–589
ราชวงศ์สุย 581–618
ราชวงศ์ถัง 618–907
  ( ราชวงศ์อู่โจว 690–705 )
ยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร
907–960
ราชวงศ์เหลียว
907–1125
ราชวงศ์ซ่ง
960–1279
  ราชวงศ์ซ่งเหนือเซี่ยตะวันตก
  ราชวงศ์ซ่งใต้จิน
ราชวงศ์หยวน 1271–1368
ราชวงศ์หมิง 1368–1644
ราชวงศ์ชิง 1644–1911
ยุคใหม่
สาธารณรัฐจีน 1912–1949
สาธารณรัฐประชาชนจีน(จีนแผ่นดินใหญ่1949–ปัจจุบันสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน)
1949–ปัจจุบัน
จัดการ: แม่แบบ  พูดคุย  แก้ไข
รัชสมัยอู่ตี้ (ระยะเวลาครองราชย์ 54 ปี ถือเป็นกษัตริย์ชาวฮั่นที่ครองบัลลังก์ยาวนานที่สุดของจีน) จึงถือเป็นยุคทองของฮั่นตะวันตก เศรษฐกิจรุ่งเรือง ทรัพย์สินในทองพระคลังล้นเหลือ ในรัชสมัยอู่ตี้ มีการกำหนดเหรียญกษาปณ์ขึ้นใช้ภายในประเทศ มีข้อห้ามในการหลอมสร้างเหรียญกษาปณ์เป็นส่วนตัว ธุรกิจหลอมเหล็กกลายเป็นกิจการของรัฐ มีการตรากฎหมายการขนส่งลำเลียง วางข้อกฎหมายระเบียบใบอนุญาตต่าง ๆ ทำให้รายได้ท้องพระคลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ฮั่นอู่ตี้จึงหันไปสนใจนโยบายต่อต่างแดน เช่น ชนเผ่าซงหนูที่คอยรบกวนอยู่ทางชายแดนภาคเหนือมาเป็นเวลานาน ฮั่นอู่ตี้ก็ได้ยกทัพออกปราบถึง 3 ครั้งครา ขับไล่ชนเผ่าซงหนูให้ถอยร่นกลับเข้าไปยังดินแดนทะเลทรายทางตอนเหนือ นำสันติสุขมายังดินแดนชายขอบตะวันตกของจีน อีกทั้งยังบุกเบิกพื้นที่ทำไร่นาในแถบดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซ่อมแซมกำแพงเมืองจีน จัดตั้งระบบไฟสัญญาณแจ้งเหตุตามชายแดน และยังส่งจางเชียนไปเป็นทูตสันถวไมตรียังดินแดนตะวันตก เพื่อเปิดเส้นทางการค้าออกไปยังดินแดนเอเชียกลาง อันเป็นที่รู้จักกันในนามของ ‘เส้นทางสายไหม’
รัชสมัยของเจาตี้ และเซวียนตี้ นั้น แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะยังคงก้าวไปข้างหน้า ทว่า กลับแฝงเร้นไว้ด้วยเงามืดของการเมือง เกิดการซ่องสุมอำนาจและความพยายามในการล้มล้างฐานอำนาจเดิม ทำให้ชาวเมืองพากันหวั่นหวาดความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ส่วนนโยบายต่อชนเผ่านอกด่านคือ ซ่งหนู ได้หันมาใช้การผูกมิตรแทน โดยมีการจัดส่งองค์หญิงหรือบุตรสาวของเจ้านายชั้นสูงไปแต่งงานกับหัวหน้าเผ่านอกด่าน จนเกิดเป็นตำนานของหวังเจาจวิน
รัชสมัยฮั่นหยวนตี้ กลุ่มขุนนางที่ไม่มีเชื้อสายชนชั้นสูงมีอำนาจมากขึ้น ระบอบการปกครองล้มเหลว เกิดการขัดแย้งทางชนชั้นและการลุกฮือของกบฏชาวนาอยู่เสมอ
รัชสมัยฮั่นเฉิงตี้ กลุ่มตระกูลหวังซึ่งเป็นญาติฝ่ายพระมารดาของเฉิงตี้เข้ากุมอำนาจทางการเมืองไว้ได้ ตระกูลหวังมีพี่น้อง 4 คนและหลานชายชื่อหวังมั่ง เข้ารวบตำแหน่งหัวหน้าทางการทหารและพลาธิการไว้ได้ อีกทั้งยังร่ำรวยทรัพย์สินมหาศาลพอล่วงเข้ารัชสมัยฮั่นอัยตี้ ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกก็ถูกกบฏชาวนาสั่นคลอนราชบัลลังก์จนแทบไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้ หวังหมั่งนำความคิดเรื่อง ‘สืบทอดบัญชาสวรรค์’ มาใช้เพื่อการแก้ไขวิกฤตอีกครั้ง แต่ก็ต้องประสบกับความล้มเหลว เมื่อฮั่นผิงตี้ ขึ้นครองบัลลังก์ หวังหมั่งกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งจึงเร่งกำจัดศัตรูทางการเมืองขนานใหญ่ รวมทั้งจัดตั้งสมัครพรรคพวก หาทางซื้อใจประชาชนและปัญญาชน เพื่อสนับสนุนฐานอำนาจแห่งตน
เมื่อฮั่นผิงตี้สิ้นพระชนม์ลง หยูจื่ออิง ซึ่งยังเป็นเด็กขึ้นครองราชย์ต่อมา หวังหมั่งเห็นเป็นโอกาส จึงถอดถอนหยูจื่ออิง แล้วตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ (ค.ศ. 8-23) นับแต่นั้น ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกก็ถึงกาลล่มสลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ชนชาติจีน เป็นยุคสมัยที่ก่อเกิดศูนย์รวมทางจิตใจของความเป็นชนชาติจีน หรือที่ต่อมาเรียกกันว่าชาวฮั่น หลังจากฉินสื่อหวงหรือจิ๋นซีฮ่องเต้ปฐมกษัตริย์จีนที่สามารถรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งแล้ว ในสมัยจั้นกว๋อ การสู้รบระหว่างแว่นแคว้นต่าง ๆ ได้ทำให้เกิดการหล่อหลอมวัฒนธรรมของชนชาติต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
เมื่อถึงสมัยฮั่นตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการปกครอง ภาษาอักษร การศึกษาวัฒนธรรม ขนบประเพณีต่างก็ได้รับการกลืนกลายเป็นหนึ่งเดียว เกิดเป็นวัฒนธรรมร่วมกันที่เรียกว่า‘วัฒนธรรมของชนชาติฮั่น’นับแต่นั้นมา ชนชาติฮั่นซึ่งมีความเจริญมากกว่า จึงมักได้รับการยอมรับให้เป็นกลุ่มผู้นำในดินแดนแถบนี้ และนี่คือผลแห่งวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์และการหลอมกลืนโดยธรรมชาติ ในภายหลังยุคสมัยฮั่นต่อมา แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองหรือราชวงศ์อีกมากมาย แต่กลุ่มผู้นำยังคงเป็นชาวฮั่นตลอดมา

ฮั่นตะวันออก (คริสต์ศักราช 25 – 220)[แก้]

นับแต่ "หวังหมั่ง" ถอดถอน "หยูจื่ออิง" ยุวกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เพื่อตั้งตนเป็นใหญ่ โดยจัดระเบียบการปกครองใหม่ และก่อตั้งราชวงศ์ซิน ขึ้น แต่ความล้มเหลวของระเบียบใหม่ได้สร้างกระแสต่อต้านจากประชาชน เกิดเป็นกบฏชาวนาในพื้นที่ต่าง ๆ อาทิ กองกำลังคิ้วแดง ที่นำโดยฝานฉงจากแถบซานตง และกองกำลังลี่ว์หลิน ซึ่งนำโดยหลิวซิ่ว จากหูเป่ย เป็นต้น โดยในบรรดากองกำลังเหล่านี้ ถือว่ากองทัพของหลิวซิ่วมีกำลังกล้าแข็งที่สุด ภายหลังการศึกที่คุนหยัง ชัยชนะอย่างเด็ดขาดของกองกำลังลี่ว์หลินต่อกองทัพราชวงศ์ใหม่ ทำให้หลิวซิ่วถือเป็นโอกาสเข้ากลืนขุมกำลังติดอาวุธขนาดเล็กทางตอนเหนือ ขยายฐานกำลังไปยังเหอเป่ย ซึ่งเป็นดินแดนทางภาคเหนือของจีนในปัจจุบัน
ปีคริสต์ศักราช 25 หลิวซิ่วก็ตั้งตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองดินแดนเหอเป่ย ภายใต้สมญานามว่า ฮั่นกวงตี้ และใช้ชื่อราชวงศ์ฮั่นตามเดิม โดยทางประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคนี้เป็นฮั่นตะวันออก เนื่องจากนครหลวงตั้งอยู่ที่เมืองลั่วหยางภารกิจแรกของกวงอู่ตี้คือการปราบกองกำลังคิ้วแดงที่กำลังปิดล้อมเมืองฉางอัน
ปีรัชสมัยที่ 12 ของกวงตี้ ก็สามารถปราบก๊กของกงซุนซู่ในเสฉวนลงอย่างราบคาบ รวมประเทศจีนกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง จากนั้นตามมาด้วยประกาศปลดปล่อยแรงงานทาส ซึ่งถือเป็นการปลดปล่อยแรงงานการผลิตครั้งใหญ่ นอกจากนี้ ยังซ่อมสร้างการชลประทานทั่วประเทศ รื้อฟื้นภาคการเกษตรให้กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
รัชสมัยหมิงตี้ ก็ยกเลิกการผูกขาดการค้าเกลือและเหล็กกล้า อีกทั้งธุรกิจอื่น ๆ อาทิ ธุรกิจหลอมและหล่อทองแดง ธุรกิจผ้าไหมเป็นต้น ทำให้บ้านเมืองและการค้าขายในยุคฮั่นตะวันออกเจริญรุ่งเรืองขึ้น เมืองลั่วหยังกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าของประเทศ ส่วนศูนย์กลางทางภาคใต้ ได้แก่ เมืองหยังโจว จิงโจว อี้โจว ก็มีความเจริญในด้านธุรกิจหัตถกรรม จำนวนประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
รัชสมัยจางตี้ และเหอตี้ ถึงกับมีการเดินทางออกไปติดต่อเชื่อมสัมพันธไมตรียังดินแดนฝั่งตะวันตก เพื่อสานต่อแนวการค้าบนเส้นทางสายไหม ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าที่ดินทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างก็อยู่ในช่วงสั่งสมกำลังบารมี
หลังรัชสมัยเหอตี้ บรรดาเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางชั้นสูงต่างก็มีอำนาจที่เข้มแข็งมากขึ้น มักปรากฏว่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางผลัดกันหรือร่วมมือกันเข้ากุมอำนาจในระหว่างการผลัดแผ่นดินอยู่บ่อยครั้ง ในสี่รัชสมัยต่อมาอันได้แก่ ซุ่นตี้ ช่งตี้ จื้อตี้และเหิงตี้ กษัตริย์ทั้ง 4 มีเชื้อพระวงศ์เหลียงจี้ คอยเป็นที่ปรึกษาว่าราชการให้ถึง 20 ปี สั่งสมเงินทองทรัพย์สินกว่า 3,000 ล้าน ภายหลังยุคกลางของฮั่นตะวันออก กลุ่มครอบครัวตระกูลใหญ่เข้ากุมอำนาจทางการเมือง ทำให้เกิดสภาพเป็นขั้วการเมืองแบบผูกขาด
ยุคปลายของฮั่นตะวันออก ได้เกิดกระแสการวิพากษ์การเมืองจากกลุ่มปัญญาชนและขุนนางผู้น้อยส่วนหนึ่ง ที่ต้องการแสดงความไม่พอใจต่อระบบการเมืองการปกครองในสมัยนั้น จนเกิดวิกฤตทางการเมือง
เมื่อสิ้นรัชสมัยเหิงตี้ เหล่าขุนนางก็ยิ่งฮึกเหิมในอำนาจ ถึงกับมีการซึ้อขายตำแหน่งทางการเมืองกันอย่างเปิดเผย อำนาจบ้านเมืองล่มสลาย สังคมเต็มไปด้วยคนจรไร้ถิ่นฐาน เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าเมื่อถึงรัชสมัยหลิงตี้ เกิดกบฏโพกผ้าเหลืองทางภาคเหนือนำโดยเตียวก๊ก เข้าล้มล้างราชวงศ์ฮั่นตะวันออก บรรดาเจ้าที่ดินที่มีกำลังกล้าแข็งต่างก็ฉกฉวยโอกาสนี้พากันตั้งตนเป็นใหญ่ ต่อสู้แย่งชิงอำนาจ จนท้ายสุดหลงเหลือเพียง 3 กลุ่มอำนาจใหญ่นั่นคือ เว่ย สู่ และ อู๋ หรือที่รู้จักกันในนามของ "สามก๊ก" นั่นเอง
ในช่วงปลายราขวงศ์ฮั่นตะวันออกซึ่งเป็นช่วงสมัยยุคสามก๊ก พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงถูกบังคับให้สละพระราชบัลลังก์และมอบให้วุยอ๋องโจผี บุตรชายของโจโฉ แต่ว่าราชวงศ์ฮั่นยังไม่สิ้นสุดเมื่อฮันต๋งอ๋องเล่าปี่ ผู้เป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้และเชื้อพระวงศ์สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหาจักรพรรดิในแดนเสฉวนเพื่อรักษาราชวงศ์ฮั่นและเชื้อสายราชตระกูลเล่าต่อไปและกอบกู้ราชวงศ์ฮั่นให้ฟิ้นคืนอีกครั้ง แต่หลังจากพระเจ้าเล่าปี่สวรรคต พระเจ้าเล่าเสี้ยนขึ้นครองราชย์ต่อแต่พระองค์กลับไม่สนใจบริหารบ้านเมือง กลับเอาเสพสุรานารีไปวันๆ แถมยังหูเบามักถูกขันทีกังฉินยุแหย่ทำให้จ๊กก๊กอ่อนแอลงและถูกวุยก๊กโจมตีจนล่มสลายลง หลังจากนั้นเวลาต่อมาสุมาเอี๋ยนได้ล้มล้างราชวงศ์วุย กลืนดินแดนเสฉวนของจ๊กก๊ก และตีง่อก๊กจนแตกเป็นเหตุให้แผ่นดีนจีนที่ได้แตกออกเป็นสามก๊กกลับมารวมกันอีกครั้งซึ่งอยู่ภายใต้การนำของราชวงศ์ใหม่คือ ราชวงศ์จิ้น อันเป็นการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นในที่สุด

ความเจริญก้าวหน้าในด้านวัฒนธรรมและวิทยาการในสมัยฮั่นตะวันออก[แก้]

ในช่วงกลางของฮั่นตะวันออก ยังมีนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงอย่าง จางเหิง ซึ่งเป็นทั้งนักคิด นักกวี และนักวิชาการ โดยเขาได้คิดประดิษฐ์เครื่องวัดตำแหน่งดวงดาวและเครื่องวัดแผ่นดินไหวที่สามารถใช้ในทางวิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย (เครื่องตรวจวัดแผ่นดินไหว จากการคิดค้นของจางเหิง สร้างขึ้นในคริสต์ศักราช 132 ถือเป็นเครื่องวัดแผ่นดินไหวเครื่องแรกของโลก) ในรัชสมัยเหอตี้ ก็ยังมีไช่หลุน ผู้ซึ่งได้ปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตกระดาษจากพืช ซึ่งทำให้ราคากระดาษถูกลง และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย อันเป็นการสร้างคุณูปการต่อชาวโลกครั้งยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ องค์ความรู้ต่าง ๆ ในด้านการเกษตร การคำนวณและการแพทย์ ต่างก็ประสบความก้าวหน้าใหญ่ ศาสนาพุทธและเต๋าที่ทรงอิทธิพลล้ำลึกทางความคิด วัฒนธรรมและวิถีชีวิตในสังคมจีน ก็ล้วนเจริญรุ่งเรืองขึ้นในยุคนี้เอง

การขยายอำนาจของอาณาจักรฮั่น[แก้]

พระองค์ทรงขยายดินแดนจีนออกไปกว้างขวางจนถึงเอเชียกลางและทำสงครามขับไล่พวกซุงหนูออกไปจากภาคเหนือของจีนได้สำเร็จ ยึดครองดินแดนแมนจูเรีย เกาหลีทางตอนเหนือ ยึดครองดินแดน หนานเยียะ (กวางตุ้งและกวางสี) และเวียดนามตอนเหนือ

ราชวงศ์จิ้น

จิ้นตะวันตก (คริสต์ศักราช 265 – 316)[แก้]

ประวัติ[แก้]

ซือหม่าเอี๋ยน (สุมาเอี๋ยน) ประกาศตั้ง ราชวงศ์จิ้นตะวันตก ขึ้นแทนที่ราชวงศ์เว่ย(วุยก๊ก)ของเฉาเชาหรือโจโฉ เมื่อถึงปี 280 จิ้นตะวันตกปราบก๊กอู๋ลงได้ สภาพการแบ่งแยกอำนาจของสามก๊กก็สลายตัวไป ทั้งแผ่นดินจีนรวมเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง เกิดความสันติสุขขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
ราชวงศ์จิ้นตะวันตกเป็นยุคสมัยที่กลุ่มตระกูลใหญ่ก้าวเข้ามาเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างสูง เนื่องจากนโยบายการปกครองของซือหม่าเอี๋ยนหรือ จิ้นอู่ตี้ โน้มเอียงไปในทางเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มตระกูลชนชั้นสูง อีกทั้งกฎหมายยังให้สิทธิพิเศษต่อขุนนางเจ้าที่ดิน ในการจัดสรรการถือครองที่ดินและผลประโยชน์อื่น ๆ โดยอ้างอิงจากระดับชั้นตำแหน่งขุนนาง ระเบียบเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องมือการเพาะสร้างอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับกลุ่มตระกูลใหญ่เหล่านี้ ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นในสังคมครั้งใหญ่ เพราะเพื่อรักษาสิทธิพิเศษนี้ ถึงกับตั้งข้อรังเกียจไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะหรือแต่งงานข้ามสายเลือดกับตระกูลที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษ ทำให้ผู้อยู่นอกวงถึงแม้จะได้เข้ารับราชการก็จะยังคงถูกมองอย่างแปลกแยกและกีดกันไม่ให้ได้รับการเลื่อนขั้นในตำแหน่งสูงขึ้น
ขณะที่ขุมกำลังจากตระกูลใหญ่เหล่านี้เติบโตขึ้น ข้อขัดแย้งระหว่างกลุ่มก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทว่าอำนาจการปกครองจากส่วนกลางกลับอ่อนแอลง เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในเวลาต่อมา ในยุคสมัยนี้ บ้านเมืองเสื่อมโทรม กลุ่มผู้มีอำนาจใช้ชีวิตอย่างความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันและคดโกง ขณะที่คนจนถูกเรียกเก็บภาษีแพงลิบลิ่ว เหล่าปัญญาชนที่เกิดมาท่ามกลางยุคสมัยแห่งความวุ่นวายนี้ ต่างท้อแท้สิ้นหวัง พากันหลีกหนีความเป็นจริง ไม่ถามไถ่ปัญหาบ้านเมือง ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับการเสพสุราและพูดคุยเรื่องราวไร้สาระ หรือเสนอแนวคิดเชิงดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นในสังคม เป็นต้น
ดังนั้น ศาสตร์ในการทำนายทายทักและแนวคิดเชิงอภิปรัชญา จึงเป็นที่นิยมอย่างสูงขณะเดียวกัน การแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในราชสำนักก็ทวีความเข้มข้นขึ้น อำนาจในการปกครองของฝ่ายราชสำนักตกอยู่ในภาวะวิกฤต
จิ้นอู่ตี้ เนื่องจากได้รับบทเรียนจากราชวงศ์วุ่ยที่ไม่ได้จัดสรรอำนาจให้เชื้อพระวงศ์เป็นเหตุให้ราชวงศ์จิ้นซึ่งอยู่ในตระกูลอื่นเข้าฉกฉวยอำนาจได้โดยง่าย ดังนั้น เพื่อรักษาพระราชอำนาจของตนไว้ จึงทรงอวยยศเหล่าเชื้อพระวงศ์ขึ้นเป็นอ๋อง ให้อำนาจในการตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางทหารของกลุ่มอำนาจภายนอก ทำให้เชื้อพระวงศ์เหล่านี้สามารถบัญชาการกำลังทหารจำนวนไม่น้อย เมื่อถึงสมัยของจิ้นฮุ่ยตี้ การอวยยศซึ่งแต่เดิมมีจุดมุ่งหมายเพื่ออารักขาฐานอำนาจของราชสำนัก กลับเป็นบ่อเกิดของข้อขัดแย้งในการแบ่งลำดับขั้นการบริหาร ทำให้ภายในราชสำนักเกิดการแย่งชิงอำนาจครั้งใหญ่ บรรดาอ๋องพระราชทานต่างก็ถูกม้วนเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจทางการเมือง
นับตั้งแต่ปี 291 เป็นต้นมา เมืองลั่วหยาง ได้เกิดเหตุจลาจล ‘8 อ๋องชิงบัลลังก์’ อ๋องทั้ง 8 ได้แก่ อ๋องเลี่ยง อ๋องเหว่ย อ๋องหลุน อ๋องจ่ง อ๋องหยิ่ง อ๋องอี้ อ๋องหยงและอ๋องเย่ว์ ต่างยกกำลังเข้าห้ำหั่นกันเกิดเป็นสงครามภายในขึ้น เหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งนี้กินเวลาถึง 16 ปี ทหารและพลเรือนลัมตายนับแสน หลายเมืองถูกทำลายล้างยับเยิน เป็นเหตุให้ราชวงศ์จิ้นตะวันตกที่แต่เดิมก็ไม่ได้มีผลสำเร็จในเชิงเศรษฐกิจมากนักอยู่แล้ว กลับยิ่งต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างสาหัส สุดท้ายจิ้นฮุ่ยตี้ถูกวางยาสิ้นพระชนม์ บรรดาอ๋องต่างฆ่าฟันกันจนสิ้นเรี่ยวแรง
นับแต่สมัยฮั่นตะวันออกเป็นต้นมา ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในในแถบชายแดนภาคตะวันตกและภาคเหนือก็ได้ทยอยอพยพเข้าสู่แผ่นดินจีน เมื่อถึงปลายราชวงศ์วุ่ยและจิ้น เนื่องจากเกิดภาวะแรงงานขาดแคลนจึงมักมีการกวาดต้อนชนกลุ่มน้อยจำนวนมากเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศ ชนเผ่าต่างๆ เมื่อเข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว จึงได้รับอิทธิพลจากชาวฮั่น ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่แต่เดิมเป็นปศุสัตว์เร่ร่อน หันมาทำไร่ไถนา บ้างก็ได้รับการศึกษา เข้ารับราชการ เป็นต้น ต่อมาเนื่องจากได้รับการบีบคั้นจากการปกครองของเจ้าที่ดินชาวฮั่น และการรีดเก็บภาษีขั้นสูง ทำให้ความสัมพันธ์ทวีความตึงเครียดมากขึ้น จนในที่สุด พากันลุกขึ้นก่อหวอดต่อต้านการปกครองจากส่วนกลาง โดยกลุ่มที่เริ่มทำการก่อนได้แก่กลุ่มขุนศึกของชนเผ่าต่างๆ
ในช่วงปลายของจลาจล ‘8 อ๋องชิงบัลลังก์’ ขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ผู้นำของแต่ละกลุ่มต่างทยอยกันเสียชีวิตในการศึก หัวหน้าของชนเผ่าซงหนูหลิวหยวน ก็ประกาศตั้งตัวเป็นอิสระ โดยใช้ชื่อว่าฮั่นกว๋อ ภายหลังหลิวหยวนสิ้นชีพลง บุครชายชื่อหลิวชง ยกกำลังเข้าบุกลั่วหยางนครหลวงของจิ้นตะวันตก จับจิ้นหวยตี้ เป็นตัวประกันและสำเร็จโทษในเวลาต่อมา โดยเชื้อพระวงศ์ทางนครฉางอันเมื่อทราบเรื่องก็ปราศยกให้จิ้นหมิ่นตี้ ขึ้นครองบัลลังก์สืบทอดราชวงศ์จิ้นต่อไปทันที ประชาชนที่หวาดเกรงภัยจากสงครามทางภาคเหนือ ต่างพากันอพยพลงใต้
จวบถึงปี 316 กองกำลังของชนเผ่าซ่งหนูบุกเข้านครฉางอันเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก จับกุมจิ้นหมิ่นตี้ เพื่อรับโทษทัณฑ์ จิ้นตะวันตกจึงถึงกาลล่มสลายราชวงศ์จิ้นตะวันตกอยู่ในอำนาจรวม 51 ปี มีกษัตริย์เพียง 4 พระองค์ และเป็นราชวงศ์เดียวในยุคสมัยวุ่ยจิ้นเหนือใต้ (คริสต์ศักราช 220 – 589) ที่มีการปกครองแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว

จิ้นตะวันออก (คริสต์ศักราช 317 – 420)[แก้]

ราชวงศ์จิ้นตะวันออก ก่อตั้งขึ้นหลังจากการอพยพโยกย้ายราชธานีของเหล่าข้าราชสำนักจิ้นลงสู่ภาคใต้ ภายหลังการล่มสลายของ ราชวงศ์จิ้นตะวันตก ซึ่งแม้ว่าจะยังคงนับเนื่องเป็นราชวงศ์หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์โบราณของจีน แต่แท้จริงแล้ว ขอบข่ายอำนาจการปกครองเพียงสามารถครอบคลุมดินแดนทางตอนใต้ของลำน้ำฉางเจียงเท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ บ้านเมืองทางตอนเหนือระส่ำระสายไปด้วยไฟสงครามการแย่งชิงของแว่นแคว้นต่าง ๆภายใต้การนำของกลุ่มชนเผ่าจากนอกด่าน รวมทั้งชาวฮั่นเอง สถานการณ์ความแตกแยกนี้ ยังคงดำเนินไปท่ามกลางการผลุดขึ้นและล่มสลายลงของราชวงศ์จิ้นตะวันออก จวบจนถึงยุคแห่งการตั้งประจันของ ราชวงศ์เหนือ-ใต้ ซึ่งกินเวลากว่า 300 ปี สถาปนาจิ้นตะวันออก
ปีคริสต์ศักราช 316 เมื่อ จิ้นหมิ่นตี้ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายถูกชนเผ่าซ่งหนูจับเป็นเชลย ราชวงศ์จิ้นตะวันตกก็ถึงกาลอวสาน บรรดาขุนนางเก่าของราชวงศ์จิ้นที่ไม่ยอมรับในชะตากรรม ยังคงมีความเคลื่อนไหวเพื่อกอบกู้สถานการณ์อยู่ทุกหนแห่ง
ปีคริสต์ศักราช 317 ภายใต้การสนับสนุนจากเหล่าตระกูลชนชั้นสูงในจงหยวน (ที่ราบภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโห) และเจียงหนัน (ดินแดนทางตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียงหรือแยงซีเกียง) ซือหม่ารุ่ย ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นหลางหย่าหวัง จึงตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ราชวงศ์จิ้นสืบต่อมา ทรงพระนามว่า จิ้นหยวนตี้ และสถาปนาเมืองเจี้ยนคัง (เมืองหนันจิงมณฑลเจียงซูในปัจจุบัน) ขึ้นเป็นราชธานี ถือเป็นจุดเริ่มของจิ้นตะวันออกถึงแม้จะย้ายเมืองหลวงมายังแดนเจียงหนันทางตอนใต้ของจีน แต่เนื่องจากยังคงมีการสืบราชบัลลังก์ต่อมา จึงคงมีความมุ่งหวังที่จะรวมแผ่นดินทางตอนเหนือกลับเข้ามาอีกครั้ง ตลอดยุคสมัยนี้ มีขุนศึกที่อาสายกทัพขึ้นเหนือหลายครั้ง จู่ถี้ปราบอุดรก็เป็นครั้งหนึ่งของความพยายามในการรวมประเทศ จู่ถี้แต่เดิมอยู่ในกลุ่มตระกูลใหญ่จากทางเหนือ ระยะแรกเมื่ออพยพลงสู่ใต้นั้น เนื่องจากยังมีสมัครพรรคพวกและประชาชนที่ภักดีอยู่ทางเหนือ จึงเห็นว่าการยกทัพขึ้นเหนือมีโอกาสประสบชัยอย่างมาก ดังนั้น ก่อนการประกาศก่อตั้งราชวงศ์จิ้นตะวันออก จึงขอการสนับสนุนจากซือหม่ารุ่ยหรือจิ้นหยวนตี้ในเวลาต่อมา เพื่อปราบกบฏฝ่ายเหนือ ซือหม่ารุ่ยแต่งตั้งจู่ถี้เป็นเจ้าเมืองอี้ว์โจวแล้วมอบเสบียงให้จำนวนหนึ่ง จู่ถี้นำกำลังข้ามแม่น้ำไป (เหนือใต้ของจีนกางกั้นด้วยแม่น้ำฉางเจียงหรือแยงซีเกียง) สะกดทัพของสือเล่ออีกทั้งเข้ายึดดินแดนส่วนหนึ่งของแม่น้ำหวงเหอหรือฮวงโหที่อยู่เหนือขึ้นไปไว้ได้
ขณะนั้นเอง ราชสำนักทางตอนใต้เกิดกบฏหวังตุนเป็นเหตุให้การยกทัพขึ้นเหนือของจู่ถี้ต้องหยุดชะงักไป จู่ถี้โกรธแค้นถึงกับล้มป่วยและเสียชีวิตลงในปี 321 จากนั้นสือเล่อเข้าโจมตีเอาดินแดนเหอหนานกลับคืนไปได้ แผนการรวมประเทศครั้งนี้จึงล้มเหลวลง การแก่งแย่งในราชสำนักแม้ว่าบ้านเมืองในสมัยราชสำนักจิ้นตะวันออกที่ได้รับการค้ำจุนจากบรรดากองกำลังของตระกูลใหญ่จากจิ้นตะวันตกจะมีการพัฒนาอยู่บ้าง แต่ทว่า ภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง จากการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มเจ้าถิ่นที่มีอำนาจแต่เดิมกับกลุ่มอำนาจใหม่ที่โยกย้ายเข้ามา ซึ่งโดยมากฝ่ายตระกูลใหญ่จากจงหยวนเป็นผู้กุมอำนาจรัฐไว้ในมือ ส่วนกลุ่มผู้นำฝ่ายใต้ถูกกีดกันจากวิถีทางการเมือง นอกจากนี้ ยังมีการช่วงชิงระหว่างกลุ่มตระกูลใหญ่กับราชสำนัก หรือแม้แต่กลุ่มตระกูลฝ่ายเหนือด้วยกันเองก็มีการแย่งชิงที่ดุเดือดไม่แพ้กัน
ช่วงระหว่างปีคริสต์ศักราช 317 – 399 รัชสมัยจิ้นหยวนตี้ถึงจิ้นอันตี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์จิ้นตะวันออกมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ว่าระหว่างนี้มีการก่อความไม่สงบบ้างประปรายแต่ก็ถูกบรรดาขุนนางและกลุ่มตระกูลใหญ่ร่วมกันกดดันให้สลายตัวไปในที่สุด พัฒนาการดังกล่าว ได้ทำให้เกิดกลุ่ม 4 ตระกูลใหญ่ที่ผลัดกันขึ้นกุมอำนาจทางการเมืองในสมัยจิ้นตะวันออก อันได้แก่ ตระกูลหวัง อี่ว์ หวน เซี่ย ขณะที่กษัตริย์ไม่มีพระราชอำนาจใด ๆ เป็นเหตุให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพคลอนแคลน ยากจะก้าวไปข้างหน้า
หลังจากจิ้นหยวนตี้สถาปนาจิ้นตะวันออกแล้ว หวังเต่าได้เข้ากุมอำนาจบริหารการปกครองภายใน ส่วนหวังตุนถือกำลังทหารคุมอยู่ภายนอก เป็นเหตุให้จิ้นหยวนตี้รู้สึกถึงการคุกคามจากตระกูลหวัง หลังจากจิ้นหยวนตี้เสด็จสวรรคต
จิ้นหมิงตี้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อมา ปี 324 หวังตุนป่วยหนัก หมิงตี้ฉวยโอกาสยกทัพปราบ สุดท้ายหวังตุนป่วยหนักเสียชีวิต กองกำลังที่เหลือถูกกวาดล้างสิ้น
เมื่อถึงรัชสมัยจิ้นเฉิงตี้ อี่ว์เลี่ยง อาศัยฐานะพระเจ้าอาเข้ากุมอำนาจทางการเมืองไว้ ขณะที่อี่ว์เลี่ยงต้องการกีดกันจู่เยว์ ที่ครองเมืองอี้ว์โจว และหวาดระแวงซูจวิ้น ที่มีความชอบจากการปราบหวังตุน
ปี 327 อี่ว์เลี่ยงส่งสาส์นเรียกซูจวิ้นเข้าเมืองหลวง แต่ซูจวิ้นเกรงว่าอี่ว์เลี่ยงจะหาโอกาสกำจัดตน จึงชิงร่วมมือกับจู่เยว์ยกกำลังเข้าเมืองเจี้ยนคัง ต่อมาปี 329 อี่ว์เลี่ยงปราบกบฏซูจวิ้นสำเร็จ ยึดอำนาจคืนได้ทั้งหมด ชั่วระยะเวลาสั้น ๆที่จิ้นตะวันออกสงบลงนั้น หวนเวิน ที่ครองเมืองจิงโจวในรัชสมัยจิ้นมู่ตี้
ปี 347 ยกทัพปราบแคว้นสู (มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) จากนั้นอาสาบุกขึ้นเหนือเพื่อขยายอำนาจของตน ทำให้ราชสำนักจิ้นหวาดระแวง ต่อมาแม้ว่าภายหลังหวนเวินบุกขึ้นเหนือ 3 ครั้ง รุกคืบแล้วถูกตีกลับคืน สุดท้ายยังคงไม่อาจสำเร็จกิจการใหญ่

การศึกที่ลำน้ำเฝยสุ่ย[แก้]

แม้ว่าหวนเวินล้มเหลวในการยกทัพขึ้นเหนือ แต่ยังคงสามารถยึดครองอำนาจทางการเมืองไว้ได้ จวบจนปี 373 หวนเวินล้มป่วยเสียชีวิต เซี่ยอันซึ่งมาจากกลุ่มทายาทตระกูลใหญ่ จึงเริ่มมีบทบาทสำคัญในการบริหารบ้านเมือง เซี่ยอันใช้การถ่วงดุลอำนาจและประสานผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ช่วยลดการกระทบกระทั่งของหลายฝ่ายลงได้ จึงทำให้ได้รับการสนับสนุนจากราชสำนัก และได้รับการยกย่องอย่างสูง ในช่วงเวลาดังกล่าวจิ้นตะวันออกจึงมีความสงบสุขในชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ปี 382 ฝูเจียน ผู้นำแคว้นเฉียนฉิน ทางตอนเหนือ มีกำลังกล้าแข็งขึ้น จึงเรียกระดมกำลังพลครั้งใหญ่บุกลงมาทางใต้ เพื่อหวังรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งอีกครั้ง ขณะที่ทัพของฝูเจียนเต็มไปด้วยความฮึกเหิมลำพอง จิ้นตะวันออกก็เตรียมรับมือไว้พร้อมสรรพ สองทัพตั้งประจันกันที่สองฝั่งลำน้ำเฝยสุ่ย และด้วยการประสานของเซี่ยอัน เหล่านายทัพจากกลุ่มตระกูลใหญ่ร่วมมือประสานเสริม จนในที่สุดโจมตีทัพใหญ่ของฝูเจี้ยนแตกพ่ายกลับไป ชัยชนะของฝ่ายใต้ครั้งนี้ ทำให้แผนการรวมประเทศต้องล้มพับไปอีกครั้ง ทางตอนใต้รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ เศรษฐกิจและสังคมได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกช่วงหนึ่ง อันเป็นปัจจัยสำคัญสู่การต่อสู้ยึดเยื้อในสงครามแย่งชิงดินแดนที่แบ่งเป็นเหนือใต้ตั้งประจันกันในเวลาต่อมา

บ้านเมืองไม่เป็นระบบ เหตุแห่งความล่มสลาย[แก้]

ภายหลังการศึกที่เฝยสุ่ย ทำให้ฝ่ายเหนือแตกแยกกันอีกครั้ง ภาวะภัยคุกคามจากภายนอก (ราชวงศ์จิ้นตะวันออก) ผ่อนคลายลง ข้อขัดแย้งจากการแบ่งชนชั้นการปกครอง การแก่งแย่งอำนาจของชนชั้นสูงและการกดขี่ขูดรีดราษฎรทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการเกณฑ์แรงงาน
ในรัชสมัยจิ้นมู่ตี้ ราษฎรถึงกับยอมเป็นคนพิการ เพราะเพื่อต้องการหลบเลี่ยงการเกณฑ์แรงงาน ชายหนุ่มไม่กล้าตบแต่งภรรยา เมื่อมีบุตรก็ไม่สามารถเลี้ยงดู ชาวนามากมายสิ้นเนื้อประดาตัว จำต้องละทิ้งถิ่นฐาน เพื่อหลบหนีการเกณฑ์แรงงาน หลังการศึกทีเฝยสุ่ย ทำให้อำนาจทางการเมืองของ เซี่ยอัน กล้าแข็งขึ้น สะกิดความระแวงของ จิ้นเขาอู่ตี้ จึงหาทางลดอำนาจของเซี่ยอัน แล้วหันไปมอบอำนาจให้กับน้องชาย คือ ซือหม่าเต้าจื่อ
หลังจากที่เซี่ยอันเสียชีวิต ซือหม่าเต้าจื่อเข้ากุมอำนาจทางการทหารแต่ผู้เดียว เปิดศึกแย่งชิงอำนาจกับกลุ่มตระกูลใหญ่อีกครั้ง ภายหลังการหักล้างอย่างดุเดือด สภาพการณ์โดยรวมจึงกลายเป็น หวนเซวียน (บุตรชายของหวนเวิน) คุมกำลังบริเวณตอนกลางของแม่น้ำฉางเจียง หลิวเหลาคุมตอนล่างของแม่น้ำ ขณะที่เกาหย่าคุมลำน้ำหวยหนัน ขอบเขตที่ราชสำนักจิ้นสามารถควบคุมจึงเหลือเพียง 8 เมือง
ปีคริสต์ศักราช 399 ซือหม่าหยวนเสี่ยน สั่งระดมเกณฑ์ทหาร กลับเป็นเหตุให้เกิดจลาจล กลุ่มลัทธิเต๋านิกายอู๋โต่วหมี่ได้ทำการก่อหวอดขึ้น กลุ่มแรงงานทาสและชาวนาที่อดอยากต่างก็พากันมาสมทบเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนหมื่นแสนอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นบรรดาเจ้าที่ดินจากแดนเจียงตงทั้ง 8 เมืองที่ประสบความเสียหายจากการเกณฑ์แรงงานครั้งนี้ ก็ฉวยโอกาสลุกฮือขึ้นเช่นเดียวกันราชสำนักจิ้นตะวันออกเห็นว่ากองกำลังเจียงตงแข็งกล้าขึ้น จึงยกกำลังทหารเข้าล้อมปราบ
จวบจนปีค.ศ. 410 จึงถูกกำจัดสิ้น การปราบปรามจลาจลครั้งนี้ ได้ทำให้กำลังทางทหารของราชวงศ์จิ้นตะวันออกอ่อนโทรมลงอย่างมาก เหิงเซวียน ที่คุมกำลังอยู่ตอนกลางของลำน้ำฉางเจียงจึงฉวยโอกาสบุกเข้าเมืองหลวงเจี้ยนคัง ปลดฮ่องเต้จิ้นอันตี้สังหารซือหม่าเต้าจื่อและหยวนเสี่ยนสองพ่อลูก สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ขณะนั้นกลุ่มตระกูลใหญ่ที่เคยให้การสนับสนุนต่อราชสำนักจิ้นตะวันออกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม หนึ่งเดียวที่สามารถเข้าต่อกรกับหวนเซวียนได้มีเพียงหลิวอี้ว์ที่มีกำลังเข้มแข็งขึ้นจากผลงานปราบแคว้นโฮ่วเอี้ยนและโฮ่วฉินจากทางเหนือ รวมดินแดนภาคใต้ที่สูญเสียไปกลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
ปี 418 หลิวอี้ว์ ระดมกำลังปราบหวนเซวียนแตกพ่ายไป จากนั้น ตั้งซือหม่าเต๋อเหวินขึ้นเป็นกษัตริย์ คืนบัลลังก์ให้กับจิ้นตะวันออก
ปี 420 หลิวอี้ว์ บีบให้ฮ่องเต้สละราชย์ ประกาศสถาปนารัฐซ่ง แล้วตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ มีพระนามว่า ซ่งอู่ตี้ เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์จิ้นตะวันออกเนื่องจากราชวงศ์จิ้นตะวันออกย้ายเมืองหลวงมายังเจียงหนันทางตอนใต้ เปิดโอกาสให้บรรดานักปราชญ์ผู้มีความรู้จำนวนมากเดินทางอพยพมาด้วย ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับคนทางใต้มากขึ้น เกิดการหลอมรวมทางวัฒนธรรมและสังคมประเพณี รวมทั้งงานฝีมือของทางเหนือและใต้ก็มีการผสมผสานกลมกลืนกัน ทำให้งานฝีมือในยุคจิ้นตะวันออกมีความก้าวหน้าก้าวใหญ่ นอกจากนี้ นับแต่ราชวงศ์วุ่ย ของโจโฉจากยุคสามก๊กเป็นต้นมา ประเทศจีนได้มีวิวัฒนาการด้านตัวอักษรอย่างก้าวกระโดด เมื่อถึงยุคจิ้นตะวันออก จึงกำเนิดปราชญ์ กวีและนักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อมากมาย อาทิ หวังซีจือ เซี่ยหลิงยุ่นว์ เถาหยวนหมิง เป็นต้น ได้มีการปฏิรูปรูปแบบการเขียนกาพย์กลอนครั้งใหญ่ วางรากฐานให้กับการวิวัฒนาการสู่ยุคทองของวรรณคดีจีนในสมัยราชวงศ์สุยและถังในเวลาต่อมา

ราชวงศ์สุย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สุ่ย
จักรวรรดิ
 

 
พ.ศ. 1132พ.ศ. 1161 
ราชวงศ์สุ่ย ประมาณปี ค.ศ. 609 (สีน้ำตาลแดง)
เมืองหลวงฉางอาน (ค.ศ. 581 – ค.ศ. 605)
ลกเอี๋ยง (ค.ศ. 605 – ค.ศ. 614)
ภาษาภาษาจีนยุคกลาง
ศาสนาพุทธลัทธิเต๋าลัทธิขงจื๊อ, ศาสนาพื้นบ้านจีน
รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์
จักรพรรดิ
 - ค.ศ. 581 – ค.ศ. 604จักรพรรดิสุยเหวินตี้
 - ค.ศ. 604 – ค.ศ. 618จักรพรรดิสุยหยางตี้
 - ค.ศ. 618จักรพรรดิสุยกง
ประวัติศาสตร์
 - สถาปนา4 มีนาคม พ.ศ. 1132
 - สิ้นสุด23 พฤษภาคม พ.ศ. 1161
พื้นที่
 - ค.ศ. 612 (ประมาณการ)4,100,000 ตร.กม. (1,583,019 ตารางไมล์)
ประชากร
 - ค.ศ. 609 ประมาณการ66,019,956a[›] 
สกุลเงินเหรียญจีน
ราชวงศ์สุย (อังกฤษSui Dynasty, ค.ศ. 581 – ค.ศ. 618) (37 ปี)[1] เป็นราชวงศ์ที่ทรงอำนาจทางการทหารแต่มีระยะเวลาการปกครองที่ค่อนข้างสั้น สถาปนาขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 581 ภายหลังจากยุคสามก๊ก โดยจักรพรรดิสุยเหวินตี้(หยางเจียน) อดีตแม่ทัพแห่งราชวงศ์โจวเหนือ โดยในรัชกาลของพระองค์ทรงสามารถรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง แต่ราชวงศ์สุยมีอันต้องล่มสลายลงในปี ค.ศ. 617 ในรัชกาลจักรพรรดิสุยหยางตี้(หยางกว่าง) พระราชโอรสองค์รองของสุยเหวินตี้
ฮ่องเต้หยางเจียน ทรงดำเนินนโยบายอย่างแยบยล โดยการหล่อหลอมเอาวัฒนธรรมแต่ละแคว้นเข้าด้วยกัน เพื่อผสมผสานให้แต่ละแคว้นมีความเป็นปึกแผ่น หลังจากที่แตกสลายหลังสิ้นสุดราชวงศ์ฮั่น โดยมีการผสมผสานหลักการของศาสนาพุทธที่หยางเจียนนับถือ เข้ากับลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า แล้วนำมาพัฒนาเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่กฎหมายของราชวงศ์ โดยแม้ต่อมา ราชวงศ์ถังจะสถาปนาขึ้น ก็ยังรับเอาวัฒนธรรมการหล่อหลอมคำสอนศาสนามาใช้ต่อเนื่อง[2] หลังจากนั้น ทรงดำเนินนโยบายให้ขุนนางในราชสำนักรวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ได้แต่งงานกับชนเผ่าต่าง ๆ เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรี เพราะโดยพื้นเพเดิมนั้น ทั้งหยางเจียนและพระมเหสี ก็ทรงเป็นตระกูลจีนแท้ผสมกับชนเผ่าเติร์กอยู่แล้ว
หยางเจียนทรงดำเนินนโยบาย ขุดคลองต้ายุ่นเหอขนาดมหึมา ยาวกว่า 1,800 กิโลเมตร เชื่อมต่อกรุงปักกิ่ง ซึ่งอยู่ในจีนซีกเหนือ กับเมืองหางโจว ซึ่งเป็นจีนซีกใต้ เพื่อเป็นการเชื่อมแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซีเกียง เพื่อผูกขาดเศรษฐกิจของจีนให้เป็นหนึ่งเดียว รวมไปถึง การสร้างยุ้งฉางกักตุนสินค้าขนาดใหญ่โต เพื่อรองรับสินค้าเกือบตลอดแนวคลอง[3]
มีการริเริ่มการสอบจอหงวน เป็นครั้งแรก ทั่วราชอาณาจักร เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถเข้ามารับราชการในตำแหน่งขุนนาง ทำให้แต่เดิม ที่ขุนนางจะมีเพียงแต่ชนชั้นสูงที่สืบทอดสกุลต่อกันมา ทำให้อาจจะมีแต่ตำแหน่งแต่ไร้ความสามารถ จึงได้ผู้ที่มีฝีมือและความรู้อย่างแท้จริง ซ้ำยังทำให้ประชาชนได้มีโอกาสมารับราชการในราชวัง นับว่าเป็นการลดการเหลื่อมล้ำทางสังคมอีกด้วย
แต่ต่อมา เมื่อหยางกว่างขึ้นครองราชย์ ทรงประกาศสงครามกับชนเผ่าต่าง ๆ ทำให้ทรงขยายพื้นที่ทางด้านตะวันตกได้พอสมควร ซ้ำยังยกทัพไปบุกเกาหลีและแมนจู[4] แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะด้วยประสบกับความหนาวเหน็บ ซ้ำยังไม่มีการควบคุมทัพที่ดีพอ ทำให้พ่ายศึก ตามพงศาวดารกล่าวไว้ว่า
กำลังพลของสุยหยางตี้ ที่เคลื่อนทัพผ่านด่านซานไห่กวน เพื่อไปทำสงครามกับเกาหลีนั้น ต้องใช้เวลากว่า 30 วัน ในการเดินทัพจากต้นขบวนถึงท้ายขบวน เรือรบกว่า 3000 ลำ ทหารราบกว่า 1 ล้านคน ทหารม้าอีก 5 หมื่นกว่านาย พลเกาทัณฑ์อีกกว่า 5,000 นาย
ซึ่งสุยหยางตี้บัญชาให้ยกทัพขนาดมหึมานี้ ถึง 4 ครั้ง ทำให้ราชวงศ์สุย เสียหายอย่างหนัก[5] ด้วยเหตุนี้ จึงการการก่อจลาจลทั่วทุกหัวระแหง ที่ใหญ่ ๆ มี 3 กลุ่ม อันได้แก่ กองกำลังหวากัง นำโดยใจ๋หยางและหลี่มี่ กองกำลังเจียงไหว นำโดยตู้ฝูเว่ย และกองกำลังเหอเป่ย นำโดยโต้วเจี้ยนเต๋อ รวมไปถึงการก่อกบฏในราชสำนักเองอีกด้วย สุดท้าย สุยหยางตี้ถูกลอบปลงพระชนม์โดยพระประยูรฐาติของพระองค์ นำโดยอวี้เหวินฮั่วจี๋ ราชวงศ์สุยถึงกาลอาวสาน เมื่อปีพ.ศ. 1161



ราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450) ราชวงศ์นี้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้จีนอย่างมาก ทั้งด้านศิลปกรรม วัฒนธรรม และอีกหลาย ๆ ด้าน หลี่หยวนได้ตั้งตัวเองเป็น จักรพรรดิถังเกาจู่ หลังจากรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นแล้ว ก็เกิดการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทขึ้น ระหว่างโอรสหลี่เจี้ยนเฉิง หลี่ซื่อหมิน และหลี่หยวนจี๋ หลี่ซื่อหมินนั้น มีความดีความชอบมาก เนื่องจากรบชนะมาหลายครั้ง ต่อมา ถังเกาจู่ก็สละราชสมบัติ ตั้งตนเองเป็นไท่ช่างหฺวัง
ราชวงศ์ถังปกครองประเทศนานถึง 289 ปีตั้งแต่ ค.ศ. 618 เมื่อราชวงศ์ถังสถาปนาขึ้นจนถึง ค.ศ. 907 ราชวงศ์ถังถูกจูเวินโค่นลง ราชวงศ์ถัง แบ่งได้เป็นสองช่วงจากการก่อกบฏของอันลู่ซันและสื่อซือหมิง ช่วงแรกเป็นช่วงที่เจริงรุ่งเรือง ช่วงหลังเป็นช่วงที่เสื่อมโทรมลง จักรพรรดิถัง เกาจู่สถาปนาราชวงศ์ถัง หลี่ ซื่อหมิน โอรสของจักรพรรดิถังเกาจู่ได้นำกองทัพรวบรวมจีนเป็นเอกภาพใช้เวลานานถึง 10 ปี หลังจากเหตการณ์ประตูเสียนอู่เหมิน หลี่ซื่อหมินขึ้นครองราชย์จนเป็นจักรพรรดิถังไท่จงจักรพรรดิถังไท่จงบริหารประเทศอย่างแข็งขันจนทำให้ราชวงศ์ถังเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน อยู่ในฐานะนำหน้าทั่วโลกในสมัยนั้นทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและด้านอื่น ๆ ซึ่งเรียกว่า ”ช่วงเจริญรุ่งเรืองรัชสมัยเจินกวน” หลังจากนั้น ในสมัยจักรพรรดิ์ถังเสวียนจงก็เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง เรียกว่า ”ช่วงเจริญรุ่งเรืองรัชสมัยไคหยวน” ประเทศเข้มแข็งเกรียงไกร ประชาชนมีความมั่งคั่ง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ในช่วงปลายรัชกาลถังเสวียนจงได้เกิดกบฏอันลู่ซันและสื่อซือหมิง จากนี้เป็นต้นมา ราชวงศ์ถังก็เริ่มเสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ
ในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง ระบบการเมืองมีการพัฒนาไปไม่น้อยและมีส่งอิทธิพลต่อยุคหลังมาก เช่นระบบ 3 กระทรวง 6 ฝ่าย ระบบสอบจอหงวนและระบบภาษีเป็นต้น ในด้านการต่างประเทศ ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถังได้ใช้มาตรการที่ค่อนข้างเปิดประเทศ การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศมีบ่อยครั้ง ในด้านวรรณคดี บทกวีของราชวงศ์ถังมีผลงานอันยิ่งใหญ่ แต่ละช่วงล้วนมีกวียอดเยี่ยมเกิดขึ้น เช่นช่วงต้นของราชวงศ์ถังมีเฉินจื่ออ๋างและหลูปินหวัง ช่วงเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ถังมีหลี่ไป๋และตู้ฝู่ ช่วงกลางของราชวงศ์ถังมีไป๋จวีอี้และหยวนเจิ่น ช่วงปลายของราชวงศ์ถังมีหลี่ซังอิ่นและตู้มู่ ขบวนการส่งเสริมบทความสมัยโบราณที่หานอวี๋ และหลิ่วจงหยวนริเริ่มมีอิทธิพลต่อคนยุคหลังมาก ลายมือเขียนพู่กันของเอี๋ยนเจินชิง ภาพวาดของหยานลี่เปิ่น อู่เต้าจื่อ หลี่ซือซุ่น และหวางเหวย ชุดระบำที่ชื่อ ”หนีซังอวี่อีอู่” และศิลปะในถ้ำหินต่าง ๆ ได้แพร่หลายจนถึงยุคปัจจุบัน ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิธีการพิมพ์และดินปืน ซึ่งเป็นสองอย่างในสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่สี่อย่างของจีนก็เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง
ราชวงศ์ถังช่วงหลังมีความวุ่นวายในด้านการเมือง เกิดการปะทะกันระหว่างพรรคหนิวและพรรคหลี่กับการกุมอำนาจของขุนนางขันที การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวนาเกิดขึ้นไม่ขาดสาย ในที่สุด การลุกขึ้นสู้ที่มีผู้นำได้แก่หวงเฉา จูเวินที่เคยเป็นบริวารของหวงเฉา แต่กลับไปยอมจำนนต่อรัฐบาลราชวงศ์ถัง หลังจากนั้น ก็ฉวยโอกาสโค่นราชวงศ์ถังลง ประกาศตนเป็นจักรพรรดิโดยสถาปนาราชวงศ์เหลียงยุคหลังซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของสมัยอู่ไต้หรือสมัยห้าราชวงศ์

หลี่หยวนตั้งราชวงศ์[แก้]

ในรัชกาลของจักรพรรดิสุยหยางตี้ (隋煬帝)[1][2] เป็นรัชสมัยแห่งการกดขี่ราษฎรและความพ่ายแพ้ต่ออาณาจักรโคกูรยอของเกาหลีถึงสามครั้งทำให้ผู้คนพากันไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น ในค.ศ. 617 ผู้ว่ามณฑลไท่หยวน (太原) หลี่หยวน (李淵) ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็น ถังกว๋อกง (唐國公) ได้ยกทัพเข้าบุกยึดเมืองต้าเหิง (大興城) ราชธานีของราชวงศ์สุย ปลดจักรพรรดิหยางตี้ลงจากบัลลังก์เป็นไท่ซ่างหว่าง (太上皇) แล้วตั้งหยางหยู (楊侑) พระราชนัดดาเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปแทน พระนามว่า จักรพรรดิสุยกงตี้ (隋恭帝) แต่ก็ทรงเป็นเพียงแค่จักรพรรดิหุ่นเชิดอำนาจที่แท้จริงนั้นอยู่ที่หลี่หยวน ซึ่งได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นถังอ๋อง(唐王) [3][4]
มารดาของหลี่หยวนนั้น เป็นพระเชษฐภคินีของพระจักรพรรดินีตูกู จักรพรรดินีของจักรพรรดิสุยเหวินตี้ ในค.ศ. 618 หลี่หยวนพระเจ้าถังได้ล้มเลิกราชวงศ์สุยและตั้งราชวงศ์ถัง ขึ้นครองราชสมบัติเป็นปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง ภายหลังได้รับพระนามที่พระสุสานว่าจักรพรรดิถังเกาจู่ (唐高祖) คงราชธานีไว้ที่เดิมกับราชวงศ์สุยโดยเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองฉางอัน (長安) รวมทั้งตั้งพระโอรสองค์โตหลี่เจี้ยนเฉิง (李建成) เป็นองค์ชายรัชทายาท และพระโอรสองค์รองหลี่ซื่อหมิน (李世民) เป็นฉินอ๋อง (秦王) พระโอรสองค์ที่สาม หลี่หยวนจี๋ (李元吉) เป็นฉีอ๋อง (齊王) จักรพรรดิถังเกาจู พระโอรสทั้งสองพระองค์และพระธิดาองค์หญิงผิงหยาง (平陽公主) ได้ทำการสู้รบปราบชุมนุมต่าง ๆ ที่ตั้งตนเป็นใหญ่จนสามารถรวมจักรวรรดิจีนได้
พระเจ้าไท่หลี่ซื่อหมินมีพระปรีชาปราบปรามเจ้าท้องถิ่นต่าง ๆ ได้สร้างผลงานไว้มาก เมื่อสิ้นสุดสงครามแล้วจึงเกิดการแย่งราชสมบัติระหว่างหลี่ซื่อหมินกับองค์ชายรัชทายาทหลี่เจี้ยนเฉิง ในค.ศ. 626 ในเหตุการณ์ประตูเสฺวียนอู่ (玄武門) หลี่ซื่อหมินปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทพระเชษฐาและพระเจ้าพระอนุชา จักรพรรดิเกาจู่พระบิดาจึงทรงไม่อาจทนได้ที่เห็นพระโอรสเข่นฆ่ากันเองจึงทรงสละราชสมบัติเป็นไท่ซ่างหว่าง ให้พระโอรสหลี่ซื่อหมิน เป็นจักรพรรดิถังไท่จง (唐太宗)

การขยายอำนาจของอาณาจักรถัง[แก้]


"เขตแดนยุคจักรพรรดิถังไท่จง" 616-649
การขยายอำนาจของจักรวรรดิถัง:
   ซันซี (617 : his father is governor, Taizong encouraged him to revolt.)
   Sui's China by 622-626.(618). Tang dynasty 618. Controlled all of Sui's China by 622-626.
   Submit the Oriental Turks territories (630-682)
   Tibetan's King recognizes China as their emperor(641-670)
   Submit the Occidental Turks territories (642-665)
(idem) add the Oasis (640-648 : northern Oasis ; 648 : southern Oasis)
   [Not shown in the map : Conquest of Goguryeo by his son (661-668)]
The two darkest area are truly the Chinese empire, the 3 lightest area are temporaly vasalised. Borders are not factual, they are indicatives.
ทิศตะวันตก รบชนะพวกอุยกูร์(อุ้ยเก้อ)มีอำนาจเหนือซินเจียง,ทุ่งหญ้าสเตปป์,ทะเลสาบแคสเปียน

สถาปัตยกรรม[แก้]


เจดีย์ห่านใหญ่สถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์ถัง
สมัยราชวงศ์ถัง เป็นช่วงที่เศรษฐกิจและวัฒนธรรมในสังคมศักดินาพัฒนาเร็วที่สุด ลักษณะพิเศษของสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังคือมีขนาดใหญ่โต มี ระบบระเบียบ ใช้สีไม่ค่อยมากแต่ลายชัดเจนดี ในเมืองฉางอันเมืองหลวงสมัยราชวงศ์ถัง (เมืองซีอานในปัจจุบัน) และเมืองลั่วหยางเมืองหลวงทางตะวันออกของราชวงศ์ถังต่างก็เคยสร้างวังหลวงอุทยานและที่ทำการเป็นจำนวนมาก เมืองฉางอันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโลกในสมัยนั้น วังค้าหมิงในเมืองฉางอันใหญ่มาก เขตซากของวังนี้กว้างกว่ายอดจำนวนพื้นที่วังต้องห้ามสมัยหมิงและชิงในกรุงปักกิ่ง 3 เท่ากว่า ๆ สถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยไม้ในสมัยราชวงศ์ถังสวยมาก วิหารประธานในวัดโฝกวางเขต อู่ไถซาน มณฑลซานซี ก็คือสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังที่เป็นแบบฉบับ นอกจากนี้สถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยอิฐและก้อนหินในสมัยราชวงศ์ถังก็ได้รับ การพัฒนาอีกขั้นหนึ่ง เจดีย์ห่านใหญ่ เจดีย์ห่านเล็กในเมืองซีอานและเจดีย์เชียนสุน ในเมืองต้าหลี่ต่างก็เป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยอิฐและก้อนหิน

บันเทิงคดี[แก้]

วรรณกรรม[แก้]

ศาสนาและปรัชญา[แก้]

ในสมัยราชวงศ์ถัง พระเจ้าถังไท่จง ได้โปรดพระกรุณาฯ ให้สมณะเหี้ยนจาง ไปทำการอัญเชิญพระไตรปิฏกมาจากชมพูทวีป อันเป็นการเริ่มต้นของการใช้ เส้นทางสายใหม และก่อเกิดนิยายเรื่อง "ไซอิ๋ว" ในเวลาต่อมา ซึ่งหลังจากที่สมณะเหี้ยนจางรับปากไปอัญเชิญพระไตรปิฏกแล้ว ก็ได้รับการเปลื่ยนนามมาเป็น "พระถังซัมจั๋ง"

สิ่งประดิษฐ์


ราชวงศ์เหลียว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

แผ่นดินเหลียวเมื่อราวปี 1000
ราชวงศ์เหลียว (อังกฤษLiao Dynastyชี่ตัน: Mos Jælud; มองโกล: Ляо Улс/Lyao Uls; จีนตัวย่อ辽朝จีนตัวเต็ม遼朝พินอินLiáo Cháo)[1] หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ จักรวรรดิชี่ตัน (อังกฤษKhitan Empireชี่ตัน: Mos diau-d kitai huldʒi gur; มองโกล: Хятан (Khyatan) Гүрэн, Кидан (Kidan) Гүрэн; จีนตัวย่อ契丹国จีนตัวเต็ม契丹國พินอินQìdān Guó)[2] เป็นชื่อจักรวรรดิหนึ่งในเอเชียตะวันออก มีอำนาจในมองโกเลีย ภาคตะวันออกไกลบางส่วนของรัสเซีย เกาหลีเหนือและภาคเหนือของจีนส่วนในตั้งแต่ปี 907 ถึง 1125 พระเจ้าไท่จู่ (Taizu) ข่านแห่งชาวชี่ตัน สถาปนาจักรวรรดินี้ขึ้นหลังจากราชวงศ์ถังของประเทศจีนล่มสลาย และไม่ช้าไม่นานหลังก่อตั้งขึ้น ราชวงศ์เหลียวก็เริ่มขยายดินแดน โดยพระเจ้าไท่จู่ทรงเอาชัยเหนือพวกพัลแฮ (Balhae) เป็นผลสำเร็จ พระเจ้าแผ่นดินองค์ถัด ๆ มายังทรงได้สิบหกมณฑลของจีนไว้โดยใช้วิธียุแยงให้รัฐที่สามส่งการก่อกวนเข้ามา แล้วราชวงศ์เหลียวจึงคอยตีกิน ทำให้ราชวงศ์ถังอวสานลง และราชวงศ์โครยอ (Goryeo) แห่งเกาหลี กับราชวงศ์ซ่ง (Song) แห่งจีน ตกเป็นเมืองออกของราชวงศ์เหลียวในที่สุด คำว่า "เหลียว" นี้ในภาษาจีนหมายความว่า ห่าง หรือไกล
จุดเด่นของราชวงศ์เหลียว คือ ความตึงเครียดระหว่างจารีตประเพณีทางสังคมและการเมืองแบบชี่ตันกับแบบจีนซึ่งนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการสืบสันตติวงศ์ เพราะพระเจ้าแผ่นดินเหลียวฝักใฝ่คติบุตรหัวปีเป็นใหญ่ตามแบบจีน แต่ผู้ลากมากดีชาวชี่ตันส่วนใหญ่นิยมประเพณีที่ให้ผู้แข็งแกร่งที่สุดสืบเชื้อสาย ความแตกต่างกันระหว่างจารีตประเพณีชี่ตันและจีนนี้ยังเป็นเหตุให้พระเจ้าไท่จู่แห่งราชวงศ์เหลียวทรงตั้งการปกครองสองแบบขนานกัน ภาคเหนือซึ่งเป็นอาณาเขตชี่ตันให้ปกครองตามประเพณีชี่ตัน ภาคใต้ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ชี่ตันให้ปกครองตามประเพณีจีน ความแตกต่างทางสังคมแบบชี่ตันกับแบบจีนยังได้แก่ บทบาทของบุคคลแต่ละเพศและยุทธวิธี ชาวชี่ตันเห็นว่า บุคคลเสมอภาคกันไม่ว่าเพศใด ขณะที่ประเพณีทางวัฒนธรรมจีนถือว่า สตรีต้องอยู่ในโอวาทบุรุษ ฉะนั้น หญิงชี่ตันจึงเล่าเรียนการรบ ทั้งยังจัดการทรัพย์สินครัวเรือน และดำรงตำแหน่งทางทหาร ทั้งยังไม่มีการคลุมถุงชน ตลอดจนสตรีไม่จำต้องครองความบริสุทธิ์ทางเพศไว้จนถึงการสมรสครั้งแรก กับมีสิทธิที่จะหย่าและสมรสใหม่ด้วย
ในปี 1125 ชาวนฺหวี่เจิน (Jurchen) จากราชวงศ์จิน (Jin) ของพวกแมนจู จับกุมพระเจ้าเทียนจั้ว (Tianzuo) แห่งเหลียวไว้ได้ และทำลายราชวงศ์เหลียวลงสิ้น แต่ชาวชี่ตันที่ยังเหลืออยู่มีเยลฺวี่ ต้าฉือ (Yelü Dashi) เป็นผู้นำ พากันก่อตั้งราชวงศ์ใหม่เรียกว่า "เหลียวตะวันตก" (Western Liao) ปกครองกันอยู่ในเอเชียกลางบางส่วนเป็นเวลายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษ ก่อนจะถูกทัพพระเจ้าไท่จู่ (Taizu) แห่งราชวงศ์หยวนของพวกมองโกล เข้ายึดครอง แม้ความสำเร็จทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับราชวงศ์เหลียวจะสลักสำคัญ กับทั้งเครื่องปั้นและศิลปวัตถุอื่น ๆ ก็มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์และสถานสะสมต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก แต่สภาพที่แท้จริงและขอบข่ายของอิทธิพลที่วัฒนธรรมเหลียวมีต่อพัฒนาการในระยะหลัง ๆ เช่น ด้านศิลปะการแสดงและการสังคีตนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างยิ่ง

ราชวงศ์ซ่ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สำหรับความหมายอื่นดูที่ ราชวงศ์ซ่ง (แก้ความกำกวม)
Song
宋 ราชวงศ์ซ่ง
จักรวรรดิ
 960–1279 
ราชวงศ์ซ่งเหนือในปี 1111
เมืองหลวงเปียนจิง (汴京) 
(960-1127)

หลินอัน (臨安) 
(1127–1276)
ภาษาภาษาจีน
ศาสนาศาสนาพุทธลัทธิเต๋าลัทธิขงจื๊อ, ศาสนาพื้นบ้าน
รัฐบาลราชาธิปไตย
จักรพรรดิ
 - 960-976จักรพรรดิไท่จู่
 - 976-997จักรพรรดิไท่จง
 - 997-1022จักรพรรดิเจินจง
 - 1022-1063จักรพรรดิเหยินจง
 - 1063-1067จักรพรรดิอิงจง
 - 1067-1085จักรพรรดิเสินจง
 - 1085-1100จักรพรรดิเจ๋อจง
 - 1100-1126จักรพรรดิฮุ่ยจง
 - 1126-1127จักรพรรดิฉินจง
ประวัติศาสตร์
 - เจ้า ควงอิ้น ขึ้นครองบัลลังก์แทนราชวงศ์โฮ่วโจว960 960
 - เหตุการณ์จิ้งคัง ทัพจินบุกถึงเมืองหลวงไคเฟิง ซ่งเหนือล่มสลายและก่อตั้งราชวงศ์ซ่งใต้1127
 - ยอมจำนน หลินอัน1276
 - สิ้นสุดราชวงศ์ซ่งใต้1279 1279
ประชากร
 - 1041 ประมาณการ100,000,000a[›] 
สกุลเงินเหรียญจีน
ราชวงศ์ซ่ง ตามสำเนียงกลาง หรือ ซ้อง ตามสำเนียงฮกเกี้ยน (จีน宋朝พินอินSòng Cháoเวด-ไจลส์Sung Ch'ao) เป็นหนึ่งในราชวงศ์ซึ่งปกครองประเทศจีนอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 1503 ถึง ปีพ.ศ. 1822 รัฐบาลซ่งเป็นรัฐบาลแรกในโลกที่ใช้เงินตราแบบกระดาษ
เจ้า ควงอิ้น ได้ชื่อว่า พระเจ้าซ่งไท่จู่ ได้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมขึ้นมาใหม่ แต่กลับตัดทอนอำนาจทางการทหาร ของแม่ทัพ เนื่องจากความระแวง กลัวจะยึดอำนาจ ทำให้การทหารอ่อนแอ อย่างไรก็ดี ในราชวงศ์นี้ ศิลปกรรมและวัฒนธรรมรุ่งเรืองมาก การศึกษาของประชาชนดีขึ้น และเปาบุ้นจิ้น ก็ได้มาเกิดในยุคในสมัยของจักรพรรดิซ่งเหรินจง ซึ่งเป็นยุคที่ฮ่องเต้อ่อนแอ อำนาจอยู่ในมือพวกกังฉิน ท่านตัดสินคดีอย่างยุติธรรม และเด็ดขาด ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ จนเป็นที่เลื่องลือมาถึงปัจจุบัน
ในสมัยราชวงศ์ซ่ง จีนถูกรุกรานโดยชนเผ่าต่างๆ คือ พวกเซี่ย พวกชิตัน (เมืองเหลียว) จึงมีศึกอยู่ตลอดมา แถมยังต้องยอมเซ็นสัญญาสงบศึกกับ "คนป่าเถื่อน" ต้องส่งบรรณาการให้ ทำให้การเงินไม่คล่องตัว จนมีนักปฏิรูปชื่อ "หวังอั้นจี่" ออกกฎหมายมาควบคุมการใช้เงิน ของบรรดาเชื้อพระวงศ์ แต่สุดท้าย ก็ต้องยกเลิก เพราะไปขัดผลประโยชน์เจ้าใหญ่นายโต ครั้นต่อมา มีชนเผ่าจินหรือกิม (บรรพบุรุษของแมนจู) เข้ามาตี และเนื่องจากมีขุนนางกังฉิน ไปเข้ากับศัตรู (ดังเช่น ฉินไคว่ กังฉินชื่อดัง ซึ่งใส่ความแม่ทัพงักฮุย และสังหารงักฮุยกับลูกชายเสีย ทำให้ชาวจีนเคียดแค้นชิงชังอย่างยิ่ง) บวกกับการทหารที่อ่อนแออยู่แล้ว (ผสมกับฮ่องเต้ที่ไร้สามารถ หูเบา เชื่อฟังกังฉิน) ทำให้พวกจินสามารถบุกจนถึงเมืองไคฟง (เมืองหลวง) จึงต้องย้ายเมืองหลวง ไปอยู่ทางทิศใต้ มีชื่อเรียกว่า ซ่งใต้ ซึ่งพวกจินก็ยังตามล้างผลาญตลอด แต่ต่อมา ในที่สุด พวกจิน, เซี่ยกับชิตันก็ถูกมองโกล ซึ่งนำโดย เจงกิสข่าน (เตมูจิน) เข้าตี แล้วหันมาตีจีนต่อจนถึงปักกิ่ง หลังจากนั้น กุบไลข่าน หลานปู่ของเจงกิสข่าน ได้โจมตีราชวงศ์ซ่งใต้ โดยได้ความร่วมมือจากขุนนาง และทหารของราชวงศ์ซ่งบางคน ที่กลับลำหันมาช่วยเหลือมองโกล โจมตีพวกของตัวเอง จนสิ้นราชวงศ์ในที่สุด แล้วกุบไลข่านจึงตั้งราชวงศ์หยวนขึ้นมาแทน








ซ่งรวมแผ่นดิน[แก้ไขต้นฉบับ]


ซ่งไท่จู่ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่ง
แผ่นดินภาคกลาง ภายหลังจักรพรรดิโจวกงตี้ แห่งราชวงศ์โฮ่วโจวสิ้นพระชนม์ลง (ราชวงศ์สุดท้ายในห้าราชวงศ์) ภายในราชสำนักอยู่ในภาวะตึงเครียด ภายนอกเผชิญภัยคุกคามจากทัพเหลียว ปี พ.ศ. 1503 เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงที่เฉินเฉียว เจ้า ควงอิ้น ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพรักษาวังหลวง บัญชาการกองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดในเวลานั้น ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนายทัพใต้ร่มธง บีบให้โจวก้งตี้ วัยเจ็ดขวบสละราชย์ จากนั้นสถาปนาราชวงศ์ซ่งขึ้นแทนที่โฮ่วโจว นักประวัติศาสตร์จีนเรียกว่า เป่ยซ่งหรือซ่งเหนือซ่งไท่จู่ เจ้า ควงอิ้นขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ก็จัด “งานเลี้ยงสุราปลดอาวุธ” สลายกำลังของนายทหารกลุ่มต่างๆที่สนับสนุนตนขึ้นสู่บัลลังก์โดยไม่เสียเลือดเนื้อ ด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ขึ้นได้อีก ทั้งเล็งเห็นว่าการที่นายทัพคุมกำลังทหารไว้ ย่อมจะมีอำนาจพลิกฟ้าอยู่ในมือ ซ่งไท่จู่ (เจ้า ควงอิ้น) จึงใช้วิธีการเดียวกันในการโอนถ่ายอำนาจทางทหารของแม่ทัพรักษาชายแดนเข้าสู่ส่วนกลาง นอกจากนี้ เพื่อลิดรอนอำนาจขุนนางที่อาจส่งผลคุกคามต่อราชบัลลังก์ในภายภาคหน้า จึงออกกฎระเบียบใหม่ ให้มีเพียงขุนนางระดับสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาราชกิจ โดยมีกษัตริย์เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ขุนนางเป็นเพียงผู้รับไปปฏิบัติ ไม่ได้มีหน้าที่ให้คำปรึกษาชี้แนะข้อราชการดังเช่นแต่ก่อน นับแต่นั้นมา อำนาจเด็ดขาดทั้งมวลจึงตกอยู่ในมือของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว เวลานั้น รอบข้างยังประกอบด้วยแว่นแคว้นต่างๆ สืบเนื่องมาจากสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น อาทิ โฮ่วสู หนานฮั่น หนานถัง อู๋เยว่ เป่ยฮั่น เป็นต้น ดังนั้นภารกิจสำคัญของเจ้า ควงอิ้นจึงได้แก่ การเปิดศึกรวมแผ่นดิน ทัพซ่งมุ่งลงใต้ ทยอยรวบรวมดินแดนภาคใต้กลับมาอีกครั้ง หลังจากปราบแคว้นหนานถังอันเข้มแข็งได้สำเร็จในปี 974 แว่นแคว้นที่เหลือต่างทยอยเข้าสวามิภักดิ์กับราชวงศ์ซ่ง ปลายรัชกาล เจ้า ควงอิ้นหันทัพมุ่งขึ้นเหนือ หวังรวมแคว้นเป่ยฮั่นที่หลงเหลือเพียงหนึ่งเดียว แต่แล้วสิ้นพระชนม์ลงระหว่างการศึกภาคเหนือในปี 1519ซ่งไท่จง เจ้ากวงอี้ (ปี พ.ศ. 1519 – พ.ศ. 1540) ที่เป็นพระราชอนุชาจึงขึ้นสืบราชบัลลังก์ สานต่อปณิธานรวมแผ่นดิน โดยรวมแคว้นเป่ยฮั่นสำเร็จในปี พ.ศ. 1522 จากนั้นพยายามติดตามทวงคืนดินแดนที่เคยเสียให้กับเหลียว (ปักกิ่งและต้าถง) กองทัพซ่งเหนือเปิดศึกกับเหลียวหลายครั้ง ขณะที่แคว้นเหลียวก็หาโอกาสรุกลงใต้ กลายเป็นสภาพการเผชิญหน้ากัน จวบกระทั่งปี พ.ศ. 1547 ล่วงเข้ารัชกาลซ่งเจินจง (โอรสของซ่งไท่จง) ซ่งเหนือกับเหลียวบรรลุข้อตกลงร่วมกันที่ฉานหยวน สงครามอันยาวนานจึงยุติลง

ระบบการรวมศูนย์อำนาจ[แก้ไขต้นฉบับ]

ประวัติศาสตร์จีน
ประวัติศาสตร์จีน
ยุคโบราณ
สามราชาห้าจักรพรรดิ
ราชวงศ์เซี่ย 2100–1600 BCE
ราชวงศ์ซาง 1600–1046 BCE
ราชวงศ์โจว 1045–256 BCE
  ราชวงศ์โจวตะวันตก 1046–771 BCE
  ราชวงศ์โจวตะวันออก 771–256 BCE
   ยุควสันตสารท
   ยุครณรัฐ
ยุคจักรวรรดิ
ราชวงศ์ฉิน 221 BCE–206 BCE
ราชวงศ์ฮั่น 206 BCE–220 CE
  ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
  ราชวงศ์ซิน
  ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
ยุคสามก๊ก 220–280
  เว่ย สู่ และ หวู
ราชวงศ์จิ้น 265–420
  จิ้นตะวันตกยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น 304–439
  จิ้นตะวันออก
ราชวงศ์เหนือ-ใต้ 420–589
ราชวงศ์สุย 581–618
ราชวงศ์ถัง 618–907
  ( ราชวงศ์อู่โจว 690–705 )
ยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร
907–960
ราชวงศ์เหลียว
907–1125
ราชวงศ์ซ่ง
960–1279
  ราชวงศ์ซ่งเหนือเซี่ยตะวันตก
  ราชวงศ์ซ่งใต้จิน
ราชวงศ์หยวน 1271–1368
ราชวงศ์หมิง 1368–1644
ราชวงศ์ชิง 1644–1911
ยุคใหม่
สาธารณรัฐจีน 1912–1949
สาธารณรัฐประชาชนจีน(จีนแผ่นดินใหญ่1949–ปัจจุบันสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน)
1949–ปัจจุบัน
จัดการ: แม่แบบ  พูดคุย  แก้ไข
ราชวงศ์ซ่งได้ใช้ระบบการรวมศูนย์อำนาจผสมกับการการแต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปปกครองหัวเมือง ระบบนี้ทำให้ราชสำนักมีเวลาดูแลกิจการในเมืองหลวงมากขึ้นและในยุคนี้มีการก่อสร้างเมืองไม่เพียงเพื่อการบริหารเท่านั้น ยังเป็นการสร้างเมืองเพื่อเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ อุตสาหกรรม พาณิชย์นาวี หัวเมืองชายฝั่งถูกเชื่อมโยงกับหัวเมืองในแผ่นดินการพัฒนานี้ทำให้เกิดสามัญชนที่ร่ำรวยขึ้นมาโดยไม่ต้องรับราชการอย่างในอดีตจำนวนมาก

วัฒนธรรม[แก้ไขต้นฉบับ]

ในด้านวัฒนธรรมนั้น นอกจากพัฒนาสิ่งที่สืบทอดจากสมัยถังแล้ว ยังมีการบันทึกประวัติศาสตร์ ศิลปะการเขียนภาพ ศิลปะการเขียนพู่กัน และการทำเครื่องปั้นดินเผาเนื้อแข็ง ลัทธิข่งจื่อมีอิทธิพลเหนือพุทธศาสนาเนื่องจากถูกมองว่าเป็นของต่างประเทศ และไม่มีคำตอบสำหรับการปฏิบัติ และแนวทางสำหรับทางการเมืองและปัญหาพื้นฐานทั่วไป ในขณะที่สำนักข่งฟูจื่อได้พัฒนาสู่ลัทธิข่งจื่อแนวใหม่ โดยการนำเอาปรัชญาแนวคิดดั้งเดิมของข่งจื่อมาสอดแทรกด้วยความเห็น ผสมผสานแนวคิดทางศาสนาพุทธลัทธิเต๋า เป็นต้น ลัทธิข่งจื่อแนวใหม่ที่มีอิทธิพลอย่างสูงคือแนวคิดของ ชูสี่ 朱喜 ซึ่งมีแนวคิดในการสอนให้เชื่อฟังฝ่ายเดียว และตำหนิการคัดค้านผู้ปกครอง กล่าวคือ ลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ภรรยาเชื่อฟังสามี ผู้น้อยเชื่อฟังผู้อาวุโสกว่า เป็นต้น แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังลึกอยู่ในสังคมจีนจนถึงศตวรรษที่ 19 แต่ยังคงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวเกาหลี และ ญี่ปุ่นจนทุกวันนี้

เปิดศึกกับซีเซี่ย[แก้ไขต้นฉบับ]

ปลายรัชกาลซ่งไท่จง/เจ้ากวงอี้ ชนเผ่าตั่งเซี่ยง ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือเริ่มมีขุมกำลังเข้มแข็งขึ้น หันไปสวามิภักดิ์กับแคว้นเหลียว ราชสำนักซ่งจึงสั่งปิดชายแดนตัดขาดการติดต่อค้าขายระหว่างกัน ทำให้เกิดธุรกิจค้าเกลือเถื่อน และการปล้นสะดมสินค้าในบริเวณใกล้เคียง สองฝ่ายปะทะกันหลายครั้งแต่ไม่อาจเอาชนะกันได้ ต่อเมื่อ ปี 1006 ภายหลังซ่งทำสัญญาสงบศึกกับเหลียว จึงหันมาผูกมิตรกับซ่งเหนือ เปิดการค้าชายแดนตามปกติจวบกระทั่งปี พ.ศ. 1581 หลี่หยวนเฮ่า ผู้นำคนใหม่ในเวลานั้น สถาปนาแคว้นซี่เซี่ย ขึ้นเป็นผลสำเร็จ ที่เมืองซิ่งโจว (ปัจจุบันคือเมืองอิ๋นชวน มณฑลหนิงเซี่ย) ซีเซี่ยฉีกสัญญาพันธมิตรที่มีมากว่า 30 ปี เริ่มรุกรานเข้าดินแดนภาคตะวันตกของซ่งเหนือ ขณะที่กองทัพซ่งเหนือพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามเรียกร้องให้มีการเจรจากสงบศึกแต่ไม่เป็นผล อย่างไรก็ตาม เมื่อทำศึกเป็นเวลานาน การค้าที่เคยมีต้องประสบกับความเสียหาย ซีเซี่ยกลับเป็นฝ่ายเดือดร้อนเพราะขาดแคลนสินค้าที่จำเป็น สุดท้าย ซีเซี่ยจึงยอมเจรจาสงบศึก โดยซี่เซี่ยยอม “สวามิภักดิ์”กับราชสำนักซ่ง ขณะที่ซ่ง “พระราชทาน” ผ้าไหมแพรพรรณ เงินทองและชาให้กับซีเซี่ย สองฝ่ายต่างรื้อฟื้นเส้นทางค้าขายระหว่างกันดังเดิม

พลิกโฉมการปกครองภายใน[แก้ไขต้นฉบับ]

เจ้า ควงอิ้นและเจ้ากวงอี้สองพี่น้องที่ได้ผ่านพบความวุ่นวายแตกแยกของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นจากการแย่งชิงอำนาจของเหล่าขุนศึก อีกทั้งประสบการณ์ความพลิกผันทางการเมืองของตน ทราบว่า เป็นเพราะเหล่าขุนศึกมีทั้งกำลังทหารและกำลังทรัพย์อยู่ในมือ ทั้งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในท้องถิ่น ดังนั้น เพื่อเป็นการลิดรอนอำนาจของเหล่าแม่ทัพรักษาชายแดน ราชสำนักได้จัดส่งขุนนางฝ่ายบุ๋นออกไปทำหน้าที่ปกครองในส่วนท้องถิ่นโดยตรง มีการคัดเลือกทหารฝีมือดีจากท้องถิ่นเข้าสู่ส่วนกลางเพื่อทำหน้าที่กองกำลังรักษาวังหลวง ทั้งให้มีการสับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งประจำการทุกสามปี ส่วนด้านการเงิน ก็กำหนดให้รายรับรายจ่ายของท้องถิ่น (ภาษี เงินปี เบี้ยบำเหน็จ บำนาญข้าราชการ) ต้องจัดรวบรวมและแจกจ่ายจากส่วนกลางการปฏิรูปดังกล่าว เป็นการเสริมสร้างอำนาจการปกครองส่วนกลางให้เข้มแข็งขึ้นอย่างไม่มียุคใดเทียบได้ พร้อมกับได้สลายขุมกำลังท้องถิ่นลงอย่างราบคาบ ตลอดราชวงศ์ไม่มีขุมกำลังอื่นใดในแผ่นดินสามารถท้าทายราชอำนาจของกษัตริย์ได้อีก อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวส่งผลให้กองทัพอ่อนแอลง ทำให้ราชสำนักซ่งต้องตกเป็นฝ่าย “ตั้งรับ” ในยุคสมัยที่รอบข้างเต็มไปด้วยชนเผ่านักรบจากนอกด่านที่ทวีความแข็งกล้าขึ้น ดูจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี[แก้ไขต้นฉบับ]

ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ผลงานในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีจำนวนมากมาย เข็มทิศ การพิมพ์หนังสือและดินปืนเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่สามประการที่ได้รับการพัฒนาและประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่ในยุคนี้ ในจำนวนนี้ วิธีการพิมพ์โดยใช้ตัวเรียงพิมพ์ที่ประดิษฐ์คิดสร้างใหม่โดยปี้เซิงเกิดขึ้นก่อนยุโรปถึง 400 ปี ซูซ่งได้ผลิตเครื่องสังเกตปรากฏการณ์ดวงดาวและนาฬิกาทางดาราศาสตร์เครื่องแรกของโลก หนังสือเรื่อง”เมิ่งซีปี่ถาน”ของเสินคั่วมีฐานะสูงส่งในประวัติศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในด้านวัฒนธรรม จริยศาสตร์ได้รับความนิยมชมชอบ และได้มีนักจริยศาสตร์หลายคนเช่นชูสีและลู่จิ่วหยวนเป็นต้น ศาสนาเต๋า พุทธศาสนาตลอดจนศาสนาอื่นที่แพร่หลายเข้าสู่จีนจากต่างประเทศก็แพร่หลายมาก หนังสือเรื่อง”ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ถังฉบับใหม่”ที่เรียบเรียงโดยโอว หยางชิวในซ่งเหนือได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ต่อการบันทึกประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ถัง ส่วนหนังสือเรื่อง “จืจื้อทุงเจี้ยน”ซึ่งเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไปที่ซือหม่าเชียน เรียบเรียงตามลำดับปี ก็นับเป็นผลงานยอดเยี่ยมของหนังสือประวัติศาสตร์ของจีน ในด้านวรรณคดี ราชวงศ์ซ่งมีกวีประพันธ์วรรณกรรมปกิณกะที่มีชื่อเสียงหลายคนเช่นโอว หยางชิวและชูสีเป็นต้น บทกลอนซ่งเป็นวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในช่วงราชวงศ์ซ่ง มีกวีที่ดีเลิศหลายคนเช่นเอี้ยนซู หลิวหย่ง โจวปังเอี้ยน หลี่ ชิงเจ้าและซิน ชี่จี๋เป็นต้น ในสมัยราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์จิน ละครและงิ้วก็มีค่อนข้างแพร่หลาย ในด้านการวาดภาพ ผลงานที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากคือภาพวาดทัศนียภาพ ดอกไม้และนก ภาพวาดชื่อ”ชิงหมิงซั่งเหอถู” (งานรื่นเริงวันเช็งเหม็ง) ของจาง จื๊อตวนเป็นผลงานยิ่งใหญ่ในด้านการวาดภาพของจีน

เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ[แก้ไขต้นฉบับ]

ภายหลังสัญญาสงบศึกที่ฉานหยวน ซ่งเหลียวยุติศึกสงครามอันยาวนานนับสิบปี เมื่อปลอดภัยสงคราม การค้า การผลิต ศิลปวิทยาการและวัฒนธรรมของสองฝ่ายต่างเจริญรุ่งเรืองขึ้น พร้อมกับการขยายตัวของหน่วยงานราชการส่วนกลาง ที่ประสิทธิภาพนับวันจะถดถอยลงคลอง ทหารขาดการซ้อมรบและศึกษายุทธวิธีในการศึก กองทัพอ่อนแอลง ถึงกับมีคำกล่าวว่า ทหารม้าไม่รู้จักการใส่อานม้า ทหารราบก็รบไม่เป็น เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูก็ได้แต่ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวตาย ระหว่างนายทัพกับพลทหารไม่รู้จักไม่รู้ใจ ได้แต่บัญชาการรบบนแผ่นกระดาษ อันเป็นสาเหตุแห่งความแพ้พ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าของทัพซ่งนอกจากนี้ หน่วยงานข้าราชการขุนนางก็มีขนาดใหญ่โตเทอะทะขึ้นทุกวัน ทั้งที่ยังมีบุคคลากรที่ผ่านการสอบคัดเลือกแต่ไม่มีตำแหน่งการงานรองรับอีกมากมายนับไม่ถ้วน กล่าวกันว่า มีอัตราการแข่งขันเพื่อให้ได้ตำแหน่งงานถึงหนึ่งต่อสิบทีเดียวภาวะดังกล่าวส่งผลให้เกิดกระแสการอนุรักษ์อย่างเหนียวแน่น เนื่องจากเกรงว่าจะต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อันจะกระทบกระเทือนตำแหน่งของตน ในเวลาเดียวกัน บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ ต่างแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน กวาดเก็บทรัพย์สินเข้าพกเข้าห่อ ไม่สนใจถึงผลกระทบต่อส่วนรวม บรรยากาศดังกล่าวปกคลุมไปทั่วราชสำนักซ่งการขยายตัวของหน่วยงานราชการ ทำให้ราชสำนักซ่งต้องเผชิญกับวิกฤตค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จากบันทึกค่าใช้จ่ายสมัยซ่ง พบว่า เมื่อถึงรัชสมัยซ่งอิงจง (พ.ศ. 1606 – พ.ศ. 1610) ท้องพระคลังที่ว่างเปล่ากลับมีรายจ่ายมากกว่ารายรับเป็นจำนวนมหาศาล บ่งชี้ถึงฐานะทางการเงินอันคลอนแคลนของราชสำนัก

การปฏิรูปที่ไร้ผล[แก้ไขต้นฉบับ]

ปี พ.ศ. 1565 ซ่งเจินจง ล้มป่วยสิ้นพระชนม์ ซ่งเหยินจง (เหรินจง) (พ.ศ. 1565 – พ.ศ. 1606) ราชโอรสขึ้นครองราชย์ด้วยวัยเพียง 13 ปี ดังนั้นจึงมีหลิวไทเฮาคอยดูแลให้คำปรึกษาราชกิจ ต่อเมื่อ หลิวไทเฮาสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 1576 ซ่งเหยินจงจึงเริ่มบริหารราชกิจด้วยตนเอง จากนั้นไม่นาน ราชสำนักซ่งเปิดศึกกับซีเซี่ยอีกครั้ง แต่ทัพซ่งก็ต้องแพ้พ่ายเสียหายกลับมา เป็นเหตุให้ซ่งเหยินจงมีดำริที่จะปรับปรุงกองทัพและการคลังครั้งใหญ่ ปี พ.ศ. 1586 ทรงแต่งตั้งฟ่านจ้งเยียน และคณะให้ดำเนินการปฏิรูประบบการปกครองภายใน แต่นโยบายปฏิรูปของฟ่านจ้งเยียนทำให้บรรดาขุนนางและกลุ่มตระกูลสูงศักดิ์เสียผลประโยชน์ เป็นเหตุให้เกิดเสียงคัดค้านมากมาย สุดท้าย การปฏิรูปดังกล่าวดำเนินการไปได้เพียงปีเศษก็ต้องล้มเลิกไป คณะทำงานปฏิรูปของฟ่านจ้งเยียนต่างทยอยถูกปลดจากตำแหน่งปลายรัชกาลซ่งเหยินจง หวังอันสือ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งทางราชการไม่นาน ได้นำเสนอแนวทางการปฏิรูปแบบใหม่ โดยเสนอให้เร่งสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ ปรับปรุงระเบียบข้อกำหนดกฎหมาย และจัดการบริหารการคลังเสียใหม่ เป็นต้น แนวคิดของหวังอันสือแม้ว่าจะเป็นที่ชื่นชมอย่างมากในหมู่ปัญญาชน แต่ซ่งเหยินจงไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใดในรัชกาลของซ่งเหยินจงมีบุคคลสำคัญเช่นเปาบุ้นจิ้นอ๋องแปด อำมาตย์หวัง ฯลฯ
จวบจนปี พ.ศ. 1606 (ค.ศ. 1063) ซ่งเหยินจง ล้มป่วยสิ้นพระชนม์ลง ซ่งอิงจงสืบราชบัลลังก์ต่อมาได้เพียง 4 ปี ก็สิ้นพระชนม์ลง โอรสของซ่งอิงจงขึ้นครองราชย์ต่อมาพระนามว่า ซ่งเสินจง โดยมีบทบาทสำคัญในการให้การสนับสนุนแนวคิดการปฏิรูปกฎหมายของหวังอันสือในเวลานั้น ปัญหาความขัดแย้งในสังคมและวิกฤตทางการเงินยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น หน่วยงานราชการของราชสำนักซ่งมีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเมื่อครั้งต้นราชวงศ์ถึงกว่าสิบเท่า เพียงค่าใช้จ่ายแต่ละปีของกองทัพก็ครอบคลุมรายได้กว่าครึ่งจากท้องพระคลัง ดังนั้น ซ่งเสินจงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็ทรงแต่งตั้งให้หวังอันสือ เป็นผู้นำคณะปฏิรูปกฎหมายการปกครองใหม่ ระเบียบกฎหมายใหม่ของหวังอันสือ มุ่งเน้นการเก็บกวาดรายได้จากบรรดาพ่อค้า ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่ดินเข้าสู่ท้องพระคลัง ลดการผูกขาดอำนาจและอภิสิทธิ์ของกลุ่มตระกูลขุนนางชั้นสูง ขณะที่กลุ่มชาวนาและราษฎรทั่วไปลดภาระในการแบกรับภาษีและการเกณฑ์แรงงาน อีกทั้งมีการปรับปรุงระบบชลประทาน ทำให้กำลังการผลิตของสังคมโดยรวมพัฒนาขึ้นในระดับหนึ่ง มีเงินเข้าท้องพระคลังเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตาม ระเบียบกฎหมายใหม่ยังต้องเผชิญกับกระแสการคัดค้านจากผู้เสียผลประโยชน์
ภายหลังซ่งเสินจงสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ. 1628 (ค.ศ. 1085) โอรสวัยสิบขวบขึ้นครองราชย์ต่อมา พระนามว่า ซ่งเจ๋อจง มีเกาไทเฮาเป็นที่ปรึกษาราชกิจ ซึ่งให้การสนับสนุนกลุ่มแนวคิดอนุรักษ์แบบเก่านำโดยซือหม่ากวง ไม่นานนัก กลุ่มปฏิรูปของหวังอันสือก็ถูกขับไล่ออกจากศูนย์กลางอำนาจ ระเบียบกฎหมายใหม่ถูกยกเลิกไป การปฏิรูปของหวังอันสือจึงจบสิ้นลงพร้อมกับการสิ้นพระชนม์ของซ่งเสินจง ต่อเมื่อเกาไทเฮาสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ. 1636 ซ่งเจ๋อจงก็หันมาให้การสนับสนุนฝ่ายการปฏิรูปอีกครั้ง แต่ภายในกลุ่มปฏิรูปเองเกิดแตกความคิดเห็นเป็นหลายฝ่าย กลายเป็นการแก่งแย่งช่วงชิงคานอำนาจกันเอง จวบจนซ่งเจ๋อจงสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ. 1643 ซ่งฮุยจง ขึ้นครองราชย์ต่อมา ให้การสนับสนุนกลุ่มขุนนางไช่จิงและพวก ที่แอบอ้างการผลักดันกฎหมายใหม่ มาใช้ในการโกงกินและขยายอำนาจในหมู่พรรคพวกเดียวกัน อันนำมาซึ่งยุคแห่งความมืดมนฟอนเฟะของราชวงศ์ซ่งเหนือ ระบบราชการที่ล้มเหลว เป็นเหตุให้ราษฎรทยอยลุกฮือขึ้นก่อการต่อต้านราชสำนัก อาทิ กบฏฟางล่า (พ.ศ. 1663) กบฏซ่งเจียง (พ.ศ. 1661) อันเป็นที่มาของเรื่องราวในตำนาน “วีรบุรุษเขาเหลียงซาน” หรือ "108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน" ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดวรรณดีของจีน เป็นต้น แต่สุดท้ายยังคงต้องพ่ายแพ้แก่ราชสำนักซ่งเหนือในที่สุด

สถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ซ่ง[แก้ไขต้นฉบับ]


วิหารข้ามสระเลี้ยงปลาในสมัยราชวงศ์ซ่ง
สมัยราชวงศ์ซ่ง (พ.ศ. 1503 - พ.ศ. 1812) เป็นช่วงที่การเมืองและการทหารของจีนค่อนข้างทรุดโทรม แต่เศรษฐกิจ การผลิตเครื่องศิลปหัตถกรรมและการค้าค่อนข้างพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ยิ่งได้รับการพัฒนาอย่างมาก ลักษณะพิเศษของ สถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์ซ่งคือ มีขนาดไม่ใหญ่เท่าใดนัก แต่มีรูปร่างสวยมากแผนผังของเมืองสมัยราชวงศ์ซ่งคือ เปิดร้านค้าข้างถนน การดับเพลิง การคมนาคมขนส่ง ร้านค้าและสะพานในเมืองได้รับการพัฒนาใหม่ เมืองเปี้ยนเหลียงเมืองหลวงสมัยราชวงศ์ซ่ง (เมืองไคฟงมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) กลายเป็นเมืองพาณิชย์แห่งหนึ่ง วิหารประธานและวิหารข้ามสระเลี้ยงปลาในวัดจิ้นฉือเมืองไท่หยวนมณฑลซานซีก็เป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ซ่งที่เป็นแบบฉบับสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยอิฐและก้อนหินในสมัยราชวงศ์ซ่งมีระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ที่ สำคัญคือ เจดีย์และสะพาน เจดีย์ในวัดหลิงอิ่นเมืองหางโจวและสะพานโหย่งทงใน อำเภอเจ้าเซียนมณฑลเหอเป่ยก็เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยอิฐและก้อนหินที่เป็นแบบฉบับในสมัยราชวงศ์ซ่งสมัยราชวงศ์ซ่ง สังคมศักดินาของจีนได้รับการพัฒนาอักขั้นหนึ่ง คนจีนในสมัย ราชวงศ์ซ่งเริ่มมีความสนใจในการสร้างอุทยานขึ้น อุทยานสมัยซ่งที่มีลักษณะตัวแทนคือ ชังล่างถิงและตู๋เล่อหยวนสมัยราชวงศ์ซ่งยังได้ปรากฏวิทยานิพนธ์พิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยี่การก่อสร้างอย่างสมบูรณ์เรื่องเหยิงเจ้าฝ่าสื้อหรือแปลว่า กฎเกณฑ์การก่อสร้าง เป็นสัญลักษณ์ ที่แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีและการควบคุมดูแลการก่อสร้างของจีนต่างก็ขึ้นสู่ระดับ ใหม่

กำเนิดแคว้นจินกับอวสานของซ่งเหนือ[แก้ไขต้นฉบับ]

ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ทางภาคเหนือก็วุ่นวายไม่ต่างกัน ราชสำนักเหลียวเกิดการแตกแยกภายใน ระบบการปกครองล้มเหลว บ้านเมืองอ่อนแอลง กลุ่มชนเผ่าทางเหนือที่เคยถูกกดขี่บีบคั้นต่างลุกฮือขึ้นก่อหวอด ชนเผ่าหนี่ว์เจิน ทางภาคอีสานเริ่มมีกำลังแกร่งกล้าขึ้น ปี พ.ศ. 1658 อากู่ต่า ผู้นำชนเผ่าหนี่ว์เจิน สถาปนาแคว้นต้าจินหรือกิม ที่ฮุ่ยหนิง (ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเฮหลงเจียง) ทรงพระนาม จินไท่จู่ จากนั้นกรีฑาทัพบุกแคว้นเหลียว ฝ่ายซ่งเหนือ เห็นเป็นโอกาสที่จะยึดดินแดน 16 เมืองที่เคยเสียไปกลับคืนมา จึงทำสัญญาร่วมมือกับแคว้นจินบุกเหลียว โดยซ่งจะส่งบรรณาการที่เคยให้กับเหลียวมามอบให้แคว้นจินแทน เพื่อแลกกับดินแดน 16 เมือง (ปักกิ่ง ต้าถง) ที่สูญเสียไปกลับคืนมา ซ่งกับจินทำสัญญาร่วมมือกันบุกเหลียว ซ่งรับหน้าที่บุกเมืองเยียนจิง (ปักกิ่ง) และต้าถง ขณะที่จินนำทัพรุกคืบกลืนดินแดนเหลียวที่เหลือ ถงก้วน นำทัพซ่งบุกเมืองเยียนจิงสองครั้งแต่ต้องพ่ายแพ้กลับมาทั้งสองหน สุดท้ายปล่อยให้ทัพจินเป็นฝ่ายบุกเข้ายึดเมืองไว้ได้โดยง่าย ราชสำนักซ่งต้องรับปาก“ไถ่เมืองคืน” ด้วยภาษีรายปีที่เก็บได้จากท้องถิ่นเป็นเงินก้อนโต สถานการณ์คราวนี้เป็นเหตุให้ทัพจินเล็งเห็นถึงความอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพของกองกำลังฝ่ายซ่ง ดังนั้น เมื่อทัพจินล้มล้างเหลียวเป็นผลสำเร็จ ก็เบนเข็มมุ่งมายังซ่งเหนือเป็นลำดับต่อไปปี 1125 หลังจากหวันเหยียนเซิ่นขึ้นครองราชย์เป็นจินไท่จง สืบต่อจากจินไท่จู่ผู้เป็นพี่ชายแล้ว ก็นำทัพกวาดล้างแคว้นเหลียวเป็นผลสำเร็จ ทัพจินอ้างเหตุรุกไล่ติดตามตัวนายทัพเหลียว นำทัพล่วงเข้ามาในแดนซ่ง แยกย้ายบุกแดนไท่หยวนและเยียนจิง (ปักกิ่ง) แม่ทัพรักษาเมืองเยียนจิงยอมสวามิภักดิ์ทัพจิน นำทางเคลื่อนทัพรุกประชิดเมืองหลวงไคฟงซ่งฮุยจงเมื่อได้ทราบข่าวทัพจินเคลื่อนลงใต้ รีบสละบัลลังก์ให้กับรัชทายาทส่วนตัวเองหลบหนีลงใต้ ซ่งชินจง เมื่อขึ้นครองราชย์ ก็เรียกประชุมเสนาบดีคิดหาหนทางแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ กลุ่มขุนนางใหญ่สนับสนุนให้ย้ายเมืองหลวงเพื่อลี้ภัย ทว่าหลี่กัง อาสาทำหน้าที่รักษาเมืองอย่างแข็งขัน หัวเมืองรอบนอกเมื่อทราบข่าวทัพจินก็รวมตัวกันจัดตั้งกองกำลังต่อต้านการรุกรานจากภายนอก ทัพจินเมื่อไม่สามารถเอาชัยได้ในระยะเวลาอันสั้น ก็เริ่มขาดแคลนเสบียง ในเวลาเดียวกัน ซ่งชินจงแอบทำสัญญาสงบศึกกับทัพจิน โดยยินยอมจ่ายทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล อีกทั้งส่งมอบดินแดนสามเมืองให้เป็นการชดเชย ฝ่ายจินจึงยอมถอนทัพกลับภาคเหนือ ภายหลังวิกฤตหลี่กังถูกปลดจากตำแหน่ง ราชสำนักซ่งแม้ว่ารับปากส่งมอบเมืองไท่หยวน จงซานและเหอเจียงให้กับแคว้นจิน แต่ราษฎรในท้องถิ่นต่างพากันต่อต้านทัพจินอย่างไม่คิดชีวิต ทัพจินไม่อาจเข้าครอบครองทั้งสามเมืองได้ จึงส่งกองกำลังบุกลงใต้มาอีกครั้ง แต่คราวนี้ ชาวเมืองไท่หยวนที่ยืนหยัดต่อสู้เป็นเวลานาน เกิดขาดแคลนเสบียง จึงต้องเสียเมืองในที่สุด ทัพจินรุกประชิดเมืองไคฟงอีกครั้ง ราชสำนักซ่งเหนือจัดส่งราชทูตไปเจรจาสงบศึกแต่ไม่เป็นผล ทัพจินบุกเข้าเมืองไคฟงกวาดต้อน ซ่งเว่ยจง ซ่งชินจง และเชื้อพระวงศ์ ไปเป็นเชลย อีกทั้งปล้นสะดมทรัพย์สินในท้องพระคลังไปจนหมดสิ้น ราชวงศ์ซ่งเหนือล่มสลาย
ในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ แม้มีการศึกสงครามประปรายเป็นระยะ แต่เนื่องจากพื้นที่บางส่วนยังมีความสงบสุขอยู่บ้าง ดังนั้น วิทยาการความรู้ การผลิต ยังคงมีความก้าวหน้าอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคนิคการพิมพ์ ถือเป็นผลงานที่โดดเด่นในยุคนี้ นอกจากนี้ ความจำเป็นของการศึกสงคราม ราชสำนักซ่งยังได้มีการผลิตดินปืนขึ้นเพื่อใช้ในการรบเป็นครั้งแรกในด้านศิลปะและวรรณคดี ก็มีอัจฉริยะที่โดดเด่นปรากฏขึ้นไม่น้อย บทกวี ในสมัยซ่งได้รับการยอมรับว่า มีความสำเร็จอย่างสูง เนื่องจากระบบการสอบจอหงวนทำให้กลุ่มปัญญาชนได้รับอิสระในการพัฒนาตนเองขึ้นมา อาทิ หวังอันสือ ฟ่านจ้งเยียน ซือหม่ากวง เป็นต้น อีกทั้งยังได้ฝากผลงานภาพวาดฝีมือเยี่ยมไว้มากมายที่โดดเด่นเป็นที่รู้จัก ได้แก่ฝีมือของ ซ่งฮุยจง กษัตริย์องค์ที่แปดแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ นับแต่ ราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา ประวัติศาสตร์การแบ่งแยกอันยาวนานของจีนในลักษณะนี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีก หลังจากซ่งเหนือถูกล้มล้างโดยราชวงศ์จิน ได้เปิดกระแสการรุกรานจากชนเผ่านอกด่านเข้าครอบครองแผ่นดินจีนในเวลาต่อมา

ราชวงศ์ซ่งใต้ (พ.ศ. 1670 – พ.ศ. 1822)[แก้ไขต้นฉบับ]

ราชวงศ์ซ่งใต้ (南宋) ก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าโก้ว (赵构) ชาวฮั่นซึ่งเป็นทายาทของตระกูลเจ้า ที่สืบทอดมาจากราชวงศ์ซ่งเหนือ ก่อตั้งราชธานีขึ้นในบริเวณดินแดนแถบเจียงหนาน (พื้นที่ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง) เรียกว่าเมืองหลินอัน (临安; ปัจจุบันคือเมืองหางโจว (หังโจว) ในมณฑลเจ้อเจียง) โดยเจ้าโก้วนั้นสถาปนาตนขึ้นเป็น ซ่งเกาจง (宋高宗) ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ กระนั้นตลอดระยะเวลา 153 ปีของราชวงศ์ซ่งใต้ รวมฮ่องเต้ 9 พระองค์ ราชวงศ์นี้กลับตกอยู่ภายใต้การคุกคามของอาณาจักรจิน (คนไทยมักเรียกว่า “กิม”) โดยตลอด จนกระทั่งพบจุดจบภายใต้เงื้อมมือของชนเผ่ามองโกลความขัดแย้งภายในและความอ่อนแอของราชวงศ์ซ่งใต้อันเป็นมรดกตกทอดมาจากราชวงศ์ซ่งเหนือ ทำให้ตลอดเวลา 150 กว่าปีของราชวงศ์ซ่งใต้ ชาวฮั่นไม่มีโอกาสที่จะกลับไปยึดครองดินแดนทางภาคเหนือคืนได้อีกเลย โดยพรมแดนทางตอนเหนือสุดของราชวงศ์ซ่งใต้ที่ติดกับเขตแดนของอาณาจักรจินนั้นก็คือ เส้นลากจากแม่น้ำเว่ยสุ่ย (淮水) ผ่านสองเขต ถัง (唐; ปัจจุบันคือถังเหอ มณฑลเหอหนาน) และ เติ้ง (ปัจจุบันคือตำบลเติ้งตะวันออก ในมณฑลเหอหนาน) ไปสิ้นสุดที่ด่านฉินหลิงต้าซ่าน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในบริเวณมณฑลส่านซี ขณะที่พรมแดนทางด้านอื่นๆ นั้นยังคงเดิมเหมือนกับราชวงศ์ซ่งเหนือหลังจากกองทัพจินบุกเข้าเมืองไคฟงกวาดต้อน ซ่งฮุยจงและซ่งชินจง สองฮ่องเต้แห่งซ่งเหนือ รวมถึงเชื้อพระวงศ์ ไปเป็นเชลย อีกทั้งปล้นสะดมทรัพย์สินในท้องพระคลังไปจนหมดสิ้นจนกระทั่งราชวงศ์ซ่งเหนือล่มสลาย ในเดือนสองปี ค.ศ. 1127 เนื่องด้วยปีดังกล่าวนั้นเป็นปีแรกของศักราชจิ้งคัง (靖康元年) ทำให้นักประวัติศาสตร์จีนเรียกเหตุการณ์การจับสองฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ซ่งเหนือไปเป็นเชลยว่าเป็น เหตุการณ์ปีจิ้งคัง หรือ ทุกขภัยสมัยจิ้งคัง (靖康之变) ต่อมาในเดือนห้าของปีเดียวกัน เชื้อพระวงศ์และแม่ทัพของกองทัพราชวงศ์ซ่งเหนือที่ล่มสลายนามเจ้าโก้ว ได้อาศัยช่วงเวลาที่กองทัพจินถอนทัพตั้งราชวงศ์ซ่งขึ้นใหม่ที่เมือนหนานจิง (ปัจจุบันคือเมืองซังชิว มณฑลเหอหนาน) และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ซ่งเกาจง ในปีถัดมา (ค.ศ. 1128) ซ่งเกาจงได้ย้ายราชธานีมาอยู่ที่เมืองหลินอัน (เมืองหางโจวในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง และเป็นเมืองที่มีภูมิชัยค่อนข้างดีในการตั้งรับการรุกรานจากอาณาจักรจินทั้งนี้นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังได้เรียกขานราชวงศ์ที่ตั้งขึ้นใหม่ ณ ดินแดนเจียงหนานนี้ว่า “ราชวงศ์ซ่งใต้” หลังยึดดินแดนในแถบเจียงหนานเป็นฐานที่มั่นได้ ฮ่องเต้ซ่งเกาจง ได้แต่งตั้งหลี่กัง (李纲) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี และจงเจ๋อ (宗泽) ขุนนางที่ภักดีต่อราชวงศ์ซ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งเสนาบดี ทั้งยังดำเนินยุทธวิธีทางการทหารหลายประการ เพื่อปกป้องตนเองจากการรุกรานของชนเผ่าจินอย่างแข็งขัน ด้วยการกุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญในพื้นที่ต่างๆ, พัฒนายุทโธปกรณ์ทางการทหารให้มีความทันสมัยขึ้น, ปฏิรูประบบการทหารเพิ่มความเข้มแข็งให้กับกองทัพ ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จพอสมควร อย่างไรก็ตามเนื่องจากฮ่องเต้ราชวงศ์ซ่งใต้มีบัญชาให้ดำเนินนโยบายสันติและปกป้องดินแดนเป็นหลัก ทั้งยังมีแนวนโยบายพื้นฐานให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นเป็นฝ่ายควบคุมขุนนางฝ่ายบู๊ ยกการเมืองเหนือการทหาร ส่งผลให้การขยายดินแดน การยึดครองดินแดนที่เสียไปในราชวงศ์ซ่งเหนือไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ และก็ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้หลี่กังซึ่งสนับสนุนให้มีการดำเนินนโยบายยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีได้เพียง 75 วันก็ถูกปลด ขณะที่เสนาบดีจงเจ๋อถึงกับตรอมใจตายในประเด็นดังกล่าวนี้ นักประวัติศาสตร์จีนได้มีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ฮ่องเต้ซ่งเกาจงไม่ต้องการให้กองทัพของพระองค์บุกขึ้นเหนือไปยึดดินแดนคืนจากพวกจินก็เพราะว่า หนึ่งพระองค์เกรงกลัวต่อกองทัพจิน และสองพระองค์เกรงกลัวว่าหากสามารถปราบพวกจินได้ฮ่องเต้สองพระองค์ที่ถูกจับเป็นเชลยไปคือ ซ่งฮุยจงและซ่งชินจงจะกลับมาแย่งบัลลังก์จากพระองค์ไป ... ด้วยความขัดแย้งอันนี้นี่เองที่ทำให้ภายในราชสำนักซ่งใต้เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างขุนนางฝ่ายเหยี่ยวและขุนนางฝ่ายพิราบโดยตลอดในปี ค.ศ. 1128 กองทัพจินได้ทียกทัพลงมารุกรานดินแดนทางตอนใต้อีกครั้ง โดยสามารถบุกตีเมืองสำคัญๆ ได้หลายแห่ง คือ เปี้ยนจิง (汴京), สีว์โจว (徐州), หยางโจว (扬州) เป็นต้น ต่อมาในฤดูหนาวปีเดียวกันแม่ทัพของจินนามอูจู๋ (兀术) ได้ยกทัพใหญ่บุกเมืองเจี้ยนคัง (建康) และ หางโจว เมื่อฮ่องเต้ซ่งเกาจงเห็นสถานการณ์กำลังตกอยู่ในภาวะคับขันพระองค์จึงหลบหนีไปยังเมืองติ้งไห่ (定海; ปัจจุบันคือเมืองเจิ้นไห่ มณฑลเจ้อเจียง) และเวินโจว ในเวลาเดียวกันเนื่องจากระหว่างการยกทัพมารุกรานชาวฮั่น ทหารจินได้ทำการฆ่าฟันชาวฮั่นด้วยความโหดเหี้ยม ทำให้ในหลายๆ พื้นที่ชาวบ้านมีความโกรธแค้นทหารจินเป็นอย่างมาก จนกระแสการต่อต้านกองทัพจินในหลายพื้นที่นั้นพุ่งขึ้นสูงในภาวะวิกฤตของชาติเช่นนี้นี่เอง ทำให้ในกองทัพของราชวงศ์ซ่งใต้ก่อกำเนิดขุนศึกเลื่องชื่อเกิดขึ้นหลายคน โดยหนึ่งในขุนศึกที่ชนรุ่นหลังรู้จักกันดีที่สุดก็คือ งักฮุย

งักฮุย หรือ เย่ว์เฟย (岳飞 พ.ศ. 1646-พ.ศ. 1685)[แก้ไขต้นฉบับ]

เกิดในครอบครัวชาวนาในมณฑลเหอหนาน ค.ศ. 1125 ขณะที่งักฮุยอายุได้ 22 ปี เมื่อกองทัพจินบุกลงใต้ เขาได้ร่วมกับกองทัพในการปกป้องเมืองไคเฟิง ด้วยความเก่งกาจในการรบของงักฮุยทำให้เขาได้รับชัยชนะในการต่อสู้กับกองทัพจินโดยตลอด ในเวลาต่อมาเมื่อได้เลื่อนขึ้นเป็นแม่ทัพ งักฮุยได้ฝึกฝนกองทัพอันเข้มแข็งของตัวเองขึ้นในในนาม “กองทัพงักฮุย (岳家军) ” ความเข้มแข็งและชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทหารจินนั้นครั่นคร้ามต่อกองทัพงักฮุยเป็นอย่างยิ่ง จนมีคำร่ำลือกันในหมู่ทหารจินว่า “โยกภูเขานั้นง่าย คลอนทัพงักฮุยนั้นยากยิ่ง”ในปี ค.ศ. 1140 ภายในอาณาจักจินเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยแม่ทัพสายเหยี่ยวอย่างอูจู๋ขึ้นมามีอิทธิพลในราชสำนักจิน ส่งผลให้ในเวลาต่อมากองทัพจินยกทัพลงมารุกรานอาณาจักรซ่งใต้อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการแบ่งการเดินทัพออกเป็นหลายสาย อย่างไรก็ตามด้วยการต่อต้านอันเข้มแข็งของประชาชนและทหารซ่งทำให้สามารถยันกองทัพจินเอาไว้ได้ นอกจากนี้ด้วยความกล้าหาญและสามารถของแม่ทัพแห่งราชวงศ์ซ่งหลายต่อหลายนายอย่างเช่น หานซื่อจง (韩世忠), จางจุ้น (张俊) รวมไปถึงงักฮุย ทำให้นอกจากจะสามารถป้องกันอาณาเขตไว้ได้แล้ว กองทัพซ่งยังสามารถรุกเอาดินแดนคืนได้อีกมากมายด้วย โดยกองทัพของงักฮุยสามารถยึดเอาไช่โจว (蔡州; ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหอหนาน) อิ่งชาง (颍昌; ปัจจุบันอยู่ในเหอหนาน) เจิ้งโจว และลั่วหยาง คืนมาจากจินได้ โดยในเวลาต่อมากองทหารม้าของงักฮุยยังสามารถรักษาเหยี่ยนเฉิง (郾城; ปัจจุบันอยู่ในเหอหนาน) และตีกองทัพทหารม้าอันเข้มแข็งของอูจู๋เสียกระเจิงอีกด้วย โดยชัยชนะครั้งนั้นในหน้าประวัติศาสตร์จีนบันทึกเอาไว้ว่าคือ “ชัยชนะที่เหยี่ยนเฉิง (郾城大捷) ” ณ เวลานั้นแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นใจอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูประเทศของราชวงศ์ซ่งใต้ แต่ฮ่องเต้ซ่งเกาจงที่ได้รับคำแนะนำจากนายกรัฐมนตรีนามฉินไคว่ (秦桧) กลับมีแนวนโยบายในการเจรจาสงบศึกกับอาณาจักรจิน โดยมองว่างักฮุยนั้นคืออุปสรรคของการเจรจา ทำให้มีการส่งป้ายทองอาญาสิทธิ์ 12 ป้ายภายในวันเดียวเรียกให้งักฮุยถอนทัพกลับมาทางใต้ แม้งักฮุยจะพยายามฝืนคำสั่งของราชสำนักเช่นไรแต่สุดท้ายก็ทัดทานไว้ไม่ไหวต้องยกทัพกลับเมืองหลวง ปล่อยให้กองทัพจินยึดดินแดนคืนกลับไปหลังงักฮุยถอนทัพกลับมายังเมืองหลวง ฉินไคว่ก็ใส่ร้ายว่างักฮุยนั้นมักใหญ่ใฝ่สูง คิดการใหญ่จะก่อกบฏล้มล้างราชสำนักจนถูกส่งเข้าคุก ในเวลาเดียวกันราชสำนักซ่งก็บรรลุข้อตกลงในสัญญาสงบศึกกับอาณาจักรจิน สัญญาสงบศึกดังกล่าวลงนามกันในปี ค.ศ. 1211 อันเป็นปีที่ 11 ของศักราชเส้าซิงทำให้ได้ชื่อว่าเป็น “สัญญาสงบศึกเส้าซิง” สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่ซ่งใต้เสียเปรียบจินเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องซ่งใต้ต้องยอมลดตัวเป็น ‘บ่าว’ ยกย่องจินไว้เป็น ‘นาย’ ทุกปีซ่งต้องส่งของบรรณาการไปจิ้มก้องให้กับจินเป็นเงิน 250,000 ตำลึงกับผ้าไหมจำนวน 250,000 พับ ทั้งต้องยอมยกดินแดนถังโจว (唐州) เติ้งโจว (邓州) ทั้งหมดรวมไปถึงพื้นที่ครึ่งหนึ่งของ ซังโจว (商州) และฉินโจว (秦州) ให้กับจินด้วย ทั้งนี้ภายหลังการเซ็นสัญญาสงบศึกดังกล่าวได้ไม่นานงักฮุยก็ต้องโทษ “อาจจะมีก็ได้ (莫须有) ”* ถึงขั้นประหารชีวิตทั้งนี้ในสมัยฮ่องเต้ซ่งใต้องค์ต่อๆ มาก็ยังมีการลงนามในสัญญาสันติภาพอีก 2 ครั้ง โดยมีความเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาเล็กน้อย คือ ในสมัยฮ่องเต้ซ่งเสี้ยวจง (宋孝宗) จินกับซ่งเปลี่ยนสถานะเป็นอากับหลาน โดยทุกๆ ปี ซ่งต้องส่งเงิน 200,000 ตำลึง และผ้าไหมจำนวน 200,000 พับให้กับจิน ขณะที่สัญญาสันติภาพในสมัยฮ่องเต้ซ่งหนิงจง (宋宁宗) อาณาจักรจินมีสถานะเป็นลุงของราชวงศ์ซ่ง ขณะที่ทุกๆ ปีซ่งจะต้องส่งเงิน 300,000 ตำลึง และผ้าไหมจำนวน 300,000 พับให้กับจินผลจากการซื้อสันติภาพดังกล่าว ส่งผลให้ดินแดนทางภาคเหนือทั้งหมดหลุดไปจากความควบคุมของฮ่องเต้ซ่งใต้โดยเด็ดขาด ภายใต้การปกครองของจิน ชีวิตของชาวจีนทางภาคเหนือก็ตกอยู่ภายใต้ความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง โดยชาวฮั่นนั้นต้องตกอยู่ในสภาพของชาวนาเช่าที่ต้องเช่าที่ดินจากชาวจิน ขณะที่ในส่วนของราชวงศ์ซ่งใต้ การสูญเสียดินแดนทางภาคเหนือไปทำให้อาณาเขตการปกครองของซ่งใต้นั้นมีเนื้อที่เพียง 2 ใน 3 ของอาณาจักรซ่งเหนือเท่านั้น

ซ่งใต้กับอิทธิพลของมองโกล[แก้ไขต้นฉบับ]

แม้ว่าหลังจากนั้นจะเกิดศึกสามเส้า เพื่อแย่งดินแดนทางภาคเหนือกันอย่างดุเดือดระหว่าง ชนเผ่ามองโกล ซีเซี่ย และจิน แต่ด้วยความอ่อนแอของราชสำนักซ่งใต้ ทำให้ชาวฮั่นไม่สามารถขยับขยายอาณาจักรของตนให้กว้างขวางได้แต่อย่างใด ทั้งนี้เมื่ออาณาจักรมองโกลเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ และกลืนอาณาจักรซีเซี่ยไปรวมกับตน ทัพมองโกลอันเหี้ยมหาญก็หันมาสู้รบกับอาณาจักรจินที่อาจถือว่าเป็นรัฐกันชนที่ป้องกันอาณาจักรซ่งใต้จากการคุกคามของมองโกลภายใต้สภาวะสามเส้าดังกล่าว ราชสำนักซ่งกลับหันไปจับมือกับมองโกลเพื่อจัดการกับจิน โดยผลสุดท้ายแม้จะกำจัดอาณาจักรจินได้สำเร็จ แต่ซ่งใต้กลับไม่อาจยึดคืนดินแดนที่เคยเป็นของตนกลับมาได้ ทั้งความร่วมมือกับมองโกลยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของกองทัพซ่งใต้ให้เป็นที่ประจักษ์อีกด้วยหลังจากสิ้นรัฐกันชนอย่างจินลง อาณาจักรมองโกลกับซ่งก็เกิดกรณีพิพาททางพรมแดนอยู่เสมอๆ โดยใน ปี ค.ศ. 1278 กองทัพมองโกลยกทัพข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงลงมาประชิดราชธานีหลินอัน ฮ่องเต้ซ่งกงตี้ (宋恭帝) และพระมารดาจึงตัดสินใจยอมจำนนต่อกองทัพมองโกล ขณะที่ขุนนางบางส่วนที่ยังมีจิตใจคิดสู้ก็ถอนทัพลงไปทางใต้ ถอยไปตั้งหลักยังฝูเจี้ยน กวางตุ้งและตั้งราชธานีชั่วคราวขึ้นโดยยกเจ้าซื่อ และ เจ้าปิ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้นาม ซ่งตวนจง (宋端宗) และซ่งม่อจง (宋末帝) ตามลำดับ ขุนนางเหล่านั้นนำโดย เหวินเทียนเสียง (文天祥), ลู่ซิ่วฟู (陆秀夫), จางซื่อเจี๋ย (张世杰) อย่างไรก็ตามในเดือน 12 ของปีเดียวกัน กองทัพของเหวินเทียนเสียงก็ต้องพ่ายให้แก่กองทัพมองโกลอันแข็งแกร่ง โดยเหวินเทียนเสียงถูกจับเป็นเชลย ณ เมืองต้าตูและเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1282

เหวินเทียนเสียงขุนนางผู้ภักดี[แก้ไขต้นฉบับ]

สำหรับเหวินเทียนเสียงนั้นถือเป็นขุนนางและนักกวีผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบืออย่างยิ่งในฐานะผู้ยืดหยัดต่อต้านมองโกล และเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์อย่างยิ่ง โดยบทกวี กั้วหลิงติงหยาง (过零丁洋) ซึ่งในสองวรรคสุดท้ายเขียนเอาไว้ว่า “นับแต่อดีตมามีผู้ใดบ้างที่เคยหนีจากความตายได้ จะเหลือทิ้งไว้ก็แต่เพียงหัวใจอันสัตย์ซื่อนี้ที่ส่องสว่างอยู่ในประวัติศาสตร์ (人生自古谁无死, 留取丹心照汗青。) ” เป็นประโยคที่คนจีนทุกคนยังท่องจำได้ขึ้นใจจนกระทั่งปัจจุบันค.ศ. 1279 ปีที่สองของรัชสมัยเสียงซิงของซ่งม่อตี้ กองทัพมองโกลยกทัพเข้าตีภูเขาหยาซานโดยคราวนี้ลู่ซิ่วฟูต้องแบกฮ่องเต้หลบหนีและหายสาบสูญไป ขณะที่จางซื่อเจี๋ยนั้นพลีชีพไปในการรบ จากเหตุการณ์นี้เองที่นักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ซ่งใต้

เศรษฐกิจและวัฒนธรรมสมัยซ่งใต้[แก้ไขต้นฉบับ]

ในทางการเมืองแม้สมัยซ่งใต้จะถูกจัดว่าเป็นราชวงศ์ที่อ่อนแอที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ กระนั้นความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในสมัยซ่งใต้กลับโดดเด่นสวนกระแสความตกต่ำทางการเมือง ด้วยอิทธิพลทางการค้าที่ การค้าขายภายในประเทศและกับต่างประเทศถือว่าเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในด้านการเกษตร ด้วยความที่พื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่นั้นอยู่ภายในดินแดนของอาณาจักรซ่งใต้ ทำให้ระดับปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรของซ่งใต้นั้นไม่ได้ด้อยกว่าซ่งเหนือเลย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยี ในการผลิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอาวุธ การพัฒนาเครื่องมือทางการเกษตรใหม่ๆ การทำเหมืองแร่ หลอมโลหะ ต่อเรือ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยีและขนาดการผลิตที่เหนือกว่ายุคซ่งเหนือมาก นอกจากนี้แล้วยังมีการพัฒนาการเลี้ยงหม่อนไหม การทอผ้าไหม การทอผ้าฝ้าย การผลิตเครื่องเคลือบดินเผา ซึ่งก็ถือว่ามีความก้าวหน้ามากกว่าเดิมเช่นกัน มากกว่านั้นหลังจากที่ปี่เซิง (毕升) ในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือได้คิดค้นเทคโนโลยีการพิมพ์แบบใหม่ที่สามารถเรียงพิมพ์ได้ (活字印刷) ขึ้นทำให้การพิมพ์หนังสือเป็นจำนวนมากๆ ง่ายขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษก้าวหน้าตามขึ้นไปด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้วัฒนธรรมของราชวงศ์ซ่งแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วและเป็นไปในวงกว้างขึ้นทั้งนี้ทั้งนั้นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด มีนัยยะต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งก็คือ “การค้า” หรือ “พาณิชยกรรม”อ้างอิงจากแฟร์แบงค์และไรสชาวร์ สองนักประวัติศาสตร์จีนคนสำคัญของโลกตะวันตกมองว่า สมัยซ่งถือเป็นจุดกำเนิดของ “การปฏิวัติพาณิชยกรรม” ในประเทศ โดยในสมัยซ่งใต้ การค้าภายในประเทศและกับต่างประเทศนั้นมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในส่วนของพ่อค้าจีนเองก็มีการค้าผ่านทางทะเลกับเกาหลี ญี่ปุ่น และดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังมีการแข่งขันกันทำการค้ากับชาวอาหรับและเปอร์เซียอีกด้วย สำหรับสาเหตสำคัญที่การค้าทางทะเลขยายตัวขึ้นอย่างมากในสมัยซ่งใต้ก็อันเนื่องมาจาก ดินแดนทางภาคเหนือของจีนที่แต่ดั้งเดิมเป็นเส้นทางการค้าทางบกที่เรียกกันว่าเส้นทางสายไหมนั้นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอาณาจักรซีเซี่ยและจิน ทำให้พ่อค้าชาวจีนต้องหันไปใช้เรือขนส่งสินค้าแทน โดยผลที่ตามมาก็คือพ่อค้าทางทะเลเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ส่วนเมืองต่างๆ ตามริมชายฝ่ายทะเลก็เพิ่มความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้การค้าโดยเงินที่ทำจากกระดาษ (ธนบัตร) ก็ถือว่าแพร่หลายอย่างมากในสมัยซ่งนี่เองในเชิงวัฒนธรรมในสมัยซ่งใต้นั้นมีปราชญ์ถือกำเนิดขึ้นหลายคนไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์แห่งลัทธิขงจื๊อใหม่ (หรือเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า “หลี่เสวีย (理学) ” ) อย่างจูซี (朱熹), ลู่จิ่วยวน (陆九渊) รวมไปถึงกวีเอกอย่างลู่โหยว (陆游) เป็นต้น
าชวงศ์หยวน (จีน元朝พินอินYuáncháoหยวนเฉา) (พ.ศ. 1814 - 1911) คือหนึ่งในราชวงศ์ของจักรวรรดิจีน ก่อตั้งขึ้นเมื่อกุบไลข่านผู้นำเผ่าชาวมองโกล ได้โค่นอำนาจราชวงศ์ซ่งลง แล้วเปิดศักราชชาวมองโกลครองประเทศจีน
ชาวมองโกลได้เข้ายึดครองภาคเหนือของจีนเป็นเวลากว่าทศวรรษ ได้มีความพยายามเปลี่ยนเป็นจีน ตั้งแต่สมัย มองเกอ ข่าน พระเชษฐาของกุบไลข่าน แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งในสมัยของกุบไลข่าน ในปี ค.ศ. 1271 เมื่อมองโกลโค่นราชวงศ์ซ่งลงได้สำเร็จและยึดครองดินแดนจีนได้ทั้งหมด กุบไลข่านได้ประกาศตั้งราชวงศ์แบบจีนขึ้นอย่างเป็นทางการ[1] มีการตั้งกรุงปักกิ่งเป็นเมืองหลวง (สมัยนั้นชื่อว่า เมืองต้าตู) ทรงตั้งความหวังจะเป็นกษัตริย์ที่ดี จึงปกครองอย่างสุขุมรอบคอบ เอาใจใส่ประชาชน จึงสามารถชนะใจชาวจีนได้ และเป็นจักรพรรดิมองโกลพระองค์เดียว ที่ชาวจีนยอมรับ (เดิมทีนั้น พวกมองโกลขึ้นชื่อลือชามากในเรื่องความโหด ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากวิถีชีวิตเดิม ที่อยู่ในทุ่งหญ้า ทะเลทราย เร่ร่อนไปเรื่อย ๆ) นอกจากนี้ กุบไลข่านยังพยายามใช้นโยบายขยายดินแดนครอบครองโลกและพาชาวจีนบุกยึดครองดินแดนต่างๆไปกว้างไกลมาก ถึงกับยกทัพเรือจะไปตีญี่ปุ่น แต่เรือถูกมรสุมจึงไม่สำเร็จ
กุบไลข่านสนใจทางอักษรศาสตร์และวรรณกรรมมาก จึงส่งเสริมบทประพันธ์ต่างๆ ปรากฏว่า บทงิ้วในสมัยกุบไลข่านดีมาก จนไม่มีบทงิ้วสมัยใดเทียบได้ การติดต่อกับต่างประเทศ ก็เป็นไปด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นมาร์โคโปโลและเอกอัครสมณทูตจากสันตะสำนักก็ได้มาเยือนแดนจีนในยุคของกุบไลข่านนี่เอง
พอสิ้นยุคของกุบไลข่าน ก็ไม่มีกษัตริย์มองโกลพระองค์ใดเด่นเหมือนพระองค์อีก ต่อมาจึงมีการพยายามโค่นล้มราชวงศ์หยวนอยู่ตลอดเวลา จักรพรรดิพระองค์ต่อ ๆ มาของราชวงศ์หยวน ส่วนใหญ่ครองราชย์ได้ไม่นาน และได้ครองราชย์โดยการแย่งชิงอำนาจกัน สาเหตุก็มาจากสาเหตุที่ว่ามองโกลไม่มีกฎแน่นอนเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์ จวบจนจักรพรรดิหยวนฮุ่ยจง ประมุขพระองค์สุดท้ายซึ่งครองราชย์นานกว่าองค์ก่อน ๆ ในยุคนี้ได้มีความวุ่นวายเกิดขึ้นมาก เกิดภัยพิบัติขึ้นหลายที่ เชื้อพระวงศ์กับขุนนางต่างร่วมกันข่มเหงชาวบ้าน จึงมีกบฏเกิดขึ้นทั่วไป
ครั้งนั้น มีชายผู้หนึ่งชื่อ จูหยวนจาง ตอนอายุได้ 17 ปี ครอบครัวได้ตายหมดจากโรคระบาด จึงไปบวชที่วัดหวงเจี๋ย ต่อมา ไปเร่ร่อนต่ออีก 3 ปี เนื่องจากเสบียงอาหารหมด แล้วจึงกลับมาที่วัดดังเดิม ครั้นสาวกลัทธิบัวขาวก่อกบฏโพกผ้าแดงขึ้น เขาก็เดินทางไปสมทบกับพวกกบฏ เริ่มนำทัพออกตีก๊กต่างๆ ในแผ่นดิน แล้วในที่สุดก็ได้ส่งแม่ทัพชื่อสีต๋า ไปตีเมืองปักกิ่งได้สำเร็จ เป็นการโค่นล้มราชวงศ์หยวนลงได้ จากนั้นเขาก็ได้ตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิหงหวู่ ใช้เมืองหนานจิงเป็นเมืองหลวง

ชื่อ[แก้]

สำหรับบทความหลักในหมวดหมู่นี้ ดู อี้จิง และ อาณัติแห่งสวรรค์
ก่อนหน้านี้ชาวมองโกลมีจักรวรรดิของตนที่ชื่อ (อิค มองกูล อูลุส) (Ikh Mongol Uls) (ikh: ยิ่งใหญ่, uls: รัฐ, ประเทศ; รัฐมองโกลอันยิ่งใหญ่)[2] หรือ จักรวรรดิมองโกล ที่ยังไม่ได้ครอบครองดินแดนจีนของราชวงศ์ซ่ง จนในรัชสมัยของมองเกอ ข่าน (ค.ศ. 1251– 1259) พระเชษฐาของกุบไลข่าน นำกองทัพบุกดินแดนจีนตอนล่างของราชวงศ์ซ่งและประกาศอาณัติแห่งสวรรค์ มองเกอ ข่านได้รับเอาอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน มาใช้และตั้งชื่อเรียกจักรวรรดิว่า "จีน" (จงกั๋ว; ที่แปลว่า อาณาจักรศูนย์กลางของโลก) ถือว่าเป็นอาณาจักรที่เป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม ตรงกับภาษามองโกล คำว่า ดุมต้าตู อูลุส (Dumdadu ulusChina in Mongolian.svg มองเกอ ข่านได้พยายามประกาศใช้ภาษาจีนเป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารในดินแดนที่ยึดได้ และเรียกราษฎรในจักรวรรดิว่า ชาวจีน (中國人 จงกั๋ว จื้อ เริน; ภาษามองโกล: ดุมต้าตูชูต) เพื่อความเป็นเอกภาพและหนึ่งเดียว ซึ่งทำให้ดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของมองโกลไม่พอใจและทำให้จักรวรรดิแตกแยกในเวลาต่อมา
ในปี ค.ศ. 1271 (พ.ศ. 1814) กุบไลข่านได้ประกาศตั้งชื่อจักรวรรดิใหม่ว่า ต้าหยวน (จีน大元พินอินDà Yuánเวด-ไจลส์Ta-Yüan) หรือ ราชวงศ์หยวน[3] "ต้าหยวน" (大元) มาจากประโยคหนึ่งของจีนที่ว่า "大哉乾元" (ดา ไจ๋ เคี้ยงหยวน / "เคี้ยงนั้นยิ่งใหญ่, เป็นปฐม") ใน ซึ่งคำว่า "เคี้ยง" () เป็นแฉกแรกของศาสตร์อี้จิง[4][5] ตรงกับภาษามองโกลที่ว่า ได ออน อูลุส (Dai Ön Ulus) นอกจากนี้คำว่า อิค หยวน อูลุส (Ikh Yuan Üls) หรือ เยเคอ หยวน อูลุส (Yekhe Yuan Ulus) ในภาษามองโกลคำว่า ไดออน (Dai Ön) เป็นคำทับศัพท์ภาษาจีนคำว่า ต้าหยวน มักจะใช้ร่วมกับคำว่า "เยเคอ มองกูล อูลุส" ("Yeke Mongghul Ulus") (ที่แปลว่า "รัฐมองโกลอันยิ่งใหญ่") บางครั้งมีการประสมเป็นคำว่า ได ออน เยเคอ มองกูล อุลุส (Dai Ön Yeke Mongghul Ulus)[6] (อักษรมองโกลDai Ön Yeke Mongghul Ulus.PNG), แปลว่า "รัฐหยวนมองโกลอันยิ่งใหญ่"[7]
ราชวงศ์หยวนเป็นที่รู้จักของชาวตะวันตกในฐานะ "ราชวงศ์มองโกล"[8] หรือ "ราชวงศ์มองโกลแห่งประเทศจีน",[9] ราชวงศ์หยวนมองโกลมักถูกมองว่าเป็นชนเผ่าคนเถื่อนที่เข้าปกครองประเทศจีน เหมือนราชวงศ์แมนจู ของชาวแมนจู[10] หรือ "ราชวงศ์แมนจูแห่งประเทศจีน"[11] ในเวลาต่อมาที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ราชวงศ์ชิง

ประวัติ[แก้]

ภูมิหลัง[แก้]

เจงกีสข่านได้รวบรวมเผ่าชาวมองโกลและชนเผ่าเตอร์กิค บริเวณทุ่งหญ้าสเตปป์เป็นหนึ่งเดียวและตั้งตนเป็นมหาข่าน ในปี ค.ศ. 1206[12] เขาและผู้สืบทอดของเขาขยายอาณาจักรมองโกลไปทั่วเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง อาณาจักรดังกล่าวได้กลายมาเป็นจักรวรรดิมองโกล ภายใต้การปกครองของบุตรชายที่สามของเจงกีสข่าน โอเกได ข่าน กองทัพมองโกลได้ทำลายและทำให้ราชวงศ์จินอ่อนแอลง ใน ปี ค.ศ. 1234 ทำให้ชาวมองโกลครอบครองดินแดนจีนตอนเหนือมากที่สุด[13] โอเกได ข่าน เสนอให้หลานชายของเขาชื่อ กุบไล ข่าน เข้ามาดำรงตำแหน่งที่เมือง ซิงโจว, บริเวณเหอเป่ย์ในปัจจุบัน กุบไลไม่สามารถอ่านภาษาจีนได้ แต่มีชาวจีนฮั่นหลายคนที่ตกเป็นเชลยอยู่กับเขาและได้ให้ความช่วยเหลือแก่เขาในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา กุบไลยังได้รับการดูแลควบคู่โดยมารดาของกุบไล ซอร์กาทานีเบกี เขาแสวงหาคำปรึกษาของที่ปรึกษาของชาวจีนและชาวบวชลัทธิขงจื้อ[14] และเริ่มสนใจอารยธรรมจีนมากกว่ามองโกล
มองเกอ ข่าน ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากกูยัก ข่าน โอรสของโอเกได ข่าน และขึ้นเป็นมหาข่านในปี ค.ศ. 1251 เขาได้แต่งตั้งน้องชายของเขา กุบไล ข่าน ปกครองดินแดนที่มองโกลยึดครองในจีน[15] ในระหว่างที่ปกครองดินแดนจีน กุบไล ข่านได้สร้างโรงเรียนสำหรับศึกษาลัทธิขงจื้อ ผลิตเงินกระดาษขึ้นมาใช้ นอกจากนี้กุบไล ข่านยังฟื้นฟูพิธีกรรมจีนและรับรองนโยบายที่กระตุ้นการเติบโตทางการเกษตรและเชิงพาณิชย์[16] เขาได้ประกาศให้เมืองไคปิงเป็นเมืองหลวงราชธานี ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ชื่อเมืองถูกเปลี่ยนเป็นแซนาดู[17]

รุกรานญี่ปุ่น[แก้]

จักรวรรดิมองโกลได้รุกรานญี่ปุ่นสองครั้ง ในปี ค.ศ. 1274 และ 1281 โดยมีเกาหลีและจีนเป็นแนวร่วม ในครั้งแรก ได้นำไพร่พลไปราวสองหมื่นนาย ญี่ปุ่นไม่อาจทัดทหารและยุทธวิธีการรบของมองโกลได้ และในภาวะเสียเปรียบของญี่ปุ่น แต่ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นขึ้นอย่างกะทันหัน พัดทำลายกองเรือของฝ่ายมองโกลอัปปางจนเกือบหมดสิ้น จนทหารมองโกล จีน และเกาหลี ต่างขวัญหนีดีผ่อ จมน้ำตายบ้าง ส่วนที่รอดชีวิตก็ถูกญี่ปุ่นประหารหรือเป็นเชลยมาก ชาวญี่ปุ่นจึงตั้งชื่อพายุนี้ว่า "คะมิกะเซะ" (วายุเทพ) ที่ช่วยปกป้องญี่ปุ่น
จากที่การรบคราวแรกรบแพ้ ศึกครั้งที่สอง กุบไล ข่าน จึงรับสั่งให้ต่อเรือรบ มากกว่า 4,000 ลำ และกำลังทหารนับ 140,000 นาย ซึ่งใช้เวลาตระเตรียมมากกว่า 6 ปี มองโกลหวังจะพิชิตญี่ปุ่นให้หมดสิ้น แต่ทั้งนี้ ญี่ปุ่นก็ได้เตรียมรับมือเป็นอย่างดี โดยมีการสร้างป้อมและกำแพงหิน ซึ่งมีความทนทานจนปืนใหญ่ของฝ่ายมองโกลไม่อาจพิชิตได้ การรบดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะเพลียงพล้ำ แต่แล้ว ก็บังเกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิ พัดเข้าสู่ที่ตั้งของกองเรือมองโกลจนพินาศย่อยยับเกือบทั้งหมด ทหารมองโกลเสียชีวิตจากการจมน้ำไปนับแสนนาย ส่วนที่รอดก็ถูกญี่ปุ่นประหารและจับเป็นเชลย โดยมีทหารรอดกลับเกาหลีเพียงไม่กี่พันนายจากที่ยกทัพมาเรือนแสน
จากการแพ้ครั้งยิ่งใหญ่นี้ทำให้กุบไลข่านทรงพิโรธเป็นอย่างมาก และในปี 1283 รับสั่งให้เตรียมการบุกญี่ปุ่นครั้งที่ 3 แต่เนื่องจากบรรดาขุนนาง ทหาร และราษฎรคัดค้านอย่างหนัก เพราะศึกสองครั้งที่ผ่านมา ได้สูญเสียทรัพย์สินและไพร่พลไปอย่างมหาศาลแล้ว ทำให้การบุกครั้งที่สาม ต้องล้มเลิกลงในปี 1286

การขยายดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมองโกล[แก้]

กุบไลข่านใช้วิธีการขยายดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มจากการส่งทูตไปให้ยอมจำนนและยอมรับอำนาจกองทัพมองโกล หากไม่ยอมจำนนจะใช้สงครามเป็นทางเลือกสุดท้าย

อาณาจักรพุกาม[แก้]


อาณาจักรพุกาม
ในปี พ.ศ. 1816 (ค.ศ. 1273) กุบไลข่านได้ทรงส่งคณะทูตสามชุดมายังอาณาจักรพุกาม (พม่า) เพื่อให้ยอมจำนนต่ออาณาจักรมองโกล แต่กษัตริย์พม่าในขณะนั้นทรงถือว่าพระองค์มีอำนาจยิ่งใหญ่ นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงโจมตีรัฐควนไกทางภาคเหนือของอาณาจักรพุกาม ทำให้ชาวมองโกลโกรธแค้น ต่อมากุบไลข่านจึงสั่งให้แม่ทัพนาเซอร์ อัลดินบุตรชายของขุนนางไซยิด อาจัลล์ ขุนนางมุสลิมซึ่งเป็นที่วางพระทัยของกุบไลข่านคนหนึ่ง นำทัพโจมตีอาณาจักรพุกาม ขณะเดียวกันพระเจ้านรสีหบดีของพม่า พระองค์ทรงวางกำลังช้างศึก 2000 เชือก นำหน้ากระบวนทัพ และวางกำลังกองทหารม้าไว้สองด้าน ตามด้วยกองกำลังทหารราบ ผลจากสงครามครั้งนี้กองทัพพม่าปราชัยอย่างย่อยยับ มองโกลได้ยึดเมืองที่มีประชากรกว่า 110,200 ครอบครัว ตามชายแดนพม่า
ต่อมาในปี พ.ศ. 1830 (ค.ศ. 1287) กุบไลข่านได้ส่งกองทัพเพื่อพิชิตอาณาจักรพุกาม ภายใต้การบังคับบัญชาโดยแม่ทัพอีเซน เตมูร์ พระราชนัดดาของพระองค์ แม่ทัพอีเซนได้นำทัพบุกไปถึงเมืองหลวงของอาณาจักรพุกาม และยึดเมืองหลวงอาณาจักรพุกามไว้ได้ พระเจ้านรสีหบดีของพม่าจึงได้ยอมจำนนต่อมองโกลและส่งเครื่องราชบรรณาการเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อมองโกลทุกปี มีข่าวว่ากษัตริย์พม่าได้ปลงพระชนม์พระองค์เองด้วยการเสวยยาพิษเพราะด้วยความเสียพระทัยอย่างใหญ่หลวง

อาณาจักรอันนัมและอาณาจักรจามปา[แก้]

กุบไลข่านได้ส่งทูตเชิญพระเจ้าตรัน ถั่น ทอน กษัตริย์อาณาจักรอันนัม และพระเจ้าชัยอินทรวรมันที่ 6 แห่งอาณาจักรจามปา เสร็จไปเยือนราชสำนักของพระองค์ที่เมืองต้าตูอาณาจักรมองโกล แต่ปรากฏว่าไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเสร็จไป เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ในปี พ.ศ. 1824 (ค.ศ. 1281) กุบไลข่านจึงตัดสินพระทัยที่จะปฏิบัติการโต้ตอบอย่างรุนแรง โดยให้แม่ทัพโซดูพร้อมด้วยทหาร 5,000 นาย เรือ 100 ลำ เดินทางถึงอาณาจักรจัมปา และยึดเมืองหลวง ซึ่งก็สามารถยึดได้อย่างรวดเร็ว และพบว่าพระเจ้าชัยอินทรวรมันที่ 6 ได้นำทัพล่าถอยไปซ่อนอยู่ตามภูเขาภายในเขตตะวันตก ต่อมากุบไลข่านได้ส่งกำลังเสริมไปช่วยแม่ทัพโซดูอีก 15,000 นาย แต่ปรากฏว่าต้องประสบปัญหายุ่งยากหลายประการ เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ ต้องเผชิญกับอากาศที่ร้อนชื้นและโรคภัยต่าง ๆ ทำให้การทำสงครามดำเนินไปได้น้อยมาก กุบไลข่านจึงส่งกองทัพที่แข็งแกร่งนำโดยเจ้าชายโตกอนเพื่อไปเสริมกับกองทัพของแม่ทัพโซดูโดยใช้เส้นทางของอาณาจักรอันนัมเป็นทางผ่านแต่พระเจ้าตรัน ถั่น ทอนทรงปฏิเสธไม่ยอมให้ใช้ดินแดนของอาณาจักรอันนัมเป็นทางผ่านไปบุกรุกอาณาจักรจัมปา ดังนั้นเจ้าชายโตกอนจึงต้องรวมทัพใหญ่ทำสงครามกับอาณาจักรอันนัม
การทำสงครามกับอาณาจักรอันนัมในช่วงแรก กองทัพมองโกลต้องพบกับอุปสรรคหลายอย่างเช่นอากาศร้อนชื้น ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 1830 (ค.ศ. 1287) พวกเขาได้รวมกันเข้าเป็นกองทัพใหญ่ นำโดยเจ้าชายโตกอน และมุ่งตรงไปกรุงฮานอย และพบว่ากษัตริย์แห่งอาณาจักรอันนัมและพระโอรสได้เสร็จหนีไปแล้ว ต่อมากษัตริย์แห่งอาณาจักรอันนัมก็ได้ตัดสินใจยอมจำนนโดยส่งทูตนำเครื่องราชบรรณาการไปถวาย และปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อราชสำนักกุบไลข่านต่อไป ด้วยเหตุผลคล้ายกันทางพระเจ้าชัยอินทรวรมันที่ 6 แห่งอาณาจักรจามปาก็ได้ยอมจำนนและส่งเครื่องราชบรรณาการไปสวามิภักดิ์ราชสำนักกุบไลข่านเช่นเดียวกัน

อาณาจักรสุโขทัย[แก้]


พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
กุบไลข่านทรงส่งกองทัพแผ่อำนาจลงทางใต้เพื่อล้มล้างราชวงศ์ซ่งทางตอนใต้ของจีน ซึ่งผลจากการยกทัพตามไล่ล่าพวกราชวงศ์ซ่งดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้กองทัพมองโกลรุกรานลงมายังเขตมณฑลยูนนานในปี พ.ศ. 1796 (ค.ศ. 1253)
หลังจากเคลื่อนกองทัพเข้ายึดมณฑลยูนนานและโจมตีอาณาจักรน่านเจ้าในยูนนานแตกแล้ว ตามข้อสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์ถือว่าอาณาจักรน่านเจ้าเป็นอาณาจักรของไทย ที่ถูกกองทัพมองโกลโจมตีจึงได้อพยพลงมาทางใต้มาอยู่ในเขตแหลมทอง และได้ตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้นแต่ข้อมูลดังกล่าวนี้ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า อาณาจักรน่านเจ้าเป็นของไทยจริงหรือไม่
สรุปได้ว่าช่วงที่กองทัพมองโกลแผ่แสนยานุภาพโดดเด่นที่สุดเป็นช่วงเดียวกับการตั้งกรุงสุโขทัย ในปี พ.ศ. 1800 (1257) ซึ่งเป็นอาณาจักรของตนอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
หลักฐานสำคัญในพงศาวดารหงวนฉบับเก่า เล่มที่ 2 แปลเรื่องราวการติดต่อระหว่างอาณาจักรสุโขทัยกับราชวงศ์มองโกลได้สรุปไว้ว่ากุบไลข่านทรงปรึกษาขุนนางข้าราชการระดับสูงเกี่ยวกับการเตรียมทัพไปปราบปรามแคว้นต่าง ๆ ทางใต้ มีสุโขทัย ละโว้สุมาตรา และอื่น ๆ เป็นเมืองขึ้น ปรากฏว่าขุนนางชื่อ เจี่ย หลู่ น่าต๋าไม่เห็นด้วยและได้กราบบังคมทูลเสนอแนะให้ทรงชักชวนให้ผู้นำดินแดนต่าง ๆ อ่อนน้อมยอมสนับสนุนก่อน หากไม่ยอมจึงยกกองทัพไปโจมตี นี่คือเหตุผลประการหนึ่งที่กุบไลข่านทรงส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี และขอให้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังราชสำนักมองโกล เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่ออาณาจักรมองโกล ปราฏว่ามีอาณาจักรในดินแดนต่าง ๆ กว่า 20 อาณาจักรยอมรับข้อเสนอ รวมทั้งอาณาจักรสุโขทัยด้วย (ช่วงระหว่างประมาณ พ.ศ. 1822 - 1825)
พงศาวดารหงวนฉบับเก่า เล่มที่ 12 เป็นหลักฐานสำคัญที่กล่าวถึงคณะทูตชุดแรกจากอาณาจักรมองโกลในสมัยกุบไลข่าน เดินทางมายังอาณาจักรสุโขทัยในเดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. 1825 (ค.ศ. 1282) ทูตคณะนี้นำโดยเหอจี จี่ นายทหารระดับสูงเป็นหัวหน้าคณะ แต่ขณะนังเรือแล่นผ่านฝั่งทะเลอาณาจักรจามปา ได้ถูกจับกุมและถูกประหารชีวิต ผลจากคณะทูตนี้ถูกประหารชีวิตก่อนจะเดินทางไปยังอาณาจักรสุโขทัยทำให้อาณาจักรสุโขทัยไม่ทราบว่ามองโกลพยายามส่งทูตมาติดต่อ
พงศาวดารหงวนฉบับเก่า เล่มที่ 17 กล่าวถึงคณะทูตมองโกลชุดที่สองเดินทางมายังอาณาจักรสุโขทัยในปี พ.ศ. 1835 (ค.ศ. 1292) ภายหลังจากข้าหลวงใหญ่ฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อยของมณฑลกวางตุ้ง ได้ส่งคนอัญเชิญพระราชสาส์นอักษรทองคำของกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยไปยังนครหลวงข่านมาลิก (ต้าตู หรือปักกิ่งปัจจุบัน) คณะทูตมองโกลชุดที่สองได้อัญเชิญพระบรมราชโองการของกุบไลข่านให้พ่อขุนรามคำแหงเสด็จไปเฝ้า พระบรมราชโองการนี้แสดงให้เห็นนโยบายของอาณาจักรมองโกลเรียกร้องให้ผู้นำของอาณาจักรต่าง ๆ ไปเฝ้ากุบไลข่าน แต่มิได้บังคับให้เป็นไปตามนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าพ่อขุนรามคำแหงก็มิได้ปฏิบัติตามแต่ประการใด
พงศาวดารหงวนฉบับเก่า เล่นที่ 18 กุบไลข่านได้ส่งคณะทูตชุดที่สามมาสุโขทัย โดยได้อัญเชิญพระบรมราชโองการให้พ่อขุนรามคำแหงเสด็จไปเฝ้า หากมีเหตุขัดข้องให้ส่งโอรสหรือพระอนุชาและอำมาตย์ผู้ใหญ่เป็นตัวประกัน ซึ่งปรากฏว่าพ่อขุนรามคำแหงก็มิได้ปฏิบัติตาม แต่ส่งคณะทูตนำเครื่องราชบรรณาการไปแทน

อาณาจักรสิงหะส่าหรี[แก้]


อาณาจักรสิงหะส่าหรี
พระเจ้าเกียรตินครแห่งชวาทรงแข็งข้อต่อต้านมหาอำนาจของกุบไลข่าน เนื่องมาจากพระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการรวมดินแดนเข้าด้วยกันเป็นอาณาจักรใหญ่ จนทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงศาสนาไปเป็นศาสนาพุทธแบบตันตระ และได้สถาปนาสัมพันธไมตรีด้วยการอภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์อาณาจักรจัมปา พระองค์ทรงแสวงหาทางควบคุมการค้าขายเครื่องเทศที่มีกำไรงาม ซึ่งมีฐานอยู่ในเขตหมู่เกาะโมลุกกะ และต้องอนุรักษ์ให้ชาวชวาเป็นกลางเกี่ยวกับการค้าขายโดยเฉพาะ พระองค์ทรงเกรงว่ากุบไลข่านทรงตั้งพระทัยที่จะกำจัดการควบคุมการค้านี้
พระองค์ทรงมีพฤติกรรมต่อต้านขุนนางเม่ง จี หนึ่งในคณะทูตของกุบไลข่านที่เดินทางไปถึงชวาในปี พ.ศ. 1832 (ค.ศ. 1289) และได้กราบทูลให้พระองค์ทรงยอมจำนนแก่อาณาจักรมองโกล การตอบสนองของพระองค์อย่างหยิ่งยโสคือทรงใช้เหล็กประทับตราที่เผาไฟร้อนจัดประทับลงใบหน้าของทูตผู้โชคร้ายคนนี้อย่างโหดเหี้ยม เหตุร้ายแรงดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นข้ออ้างของกุบไลข่าน ทรงเริ่มส่งกองทัพไปปราบปรามกษัตริย์ชวาทันที โดยให้แม่ทัพชี่ปี และแม่ทัพอิโก มู ซุ รวบรวมกำลังพลและเสบียงจากมณฑลฝูเจี้ยน กวางซี และหูกวาง เป็นทัพใหญ่ไปโจมตีชวา
แม่ทัพชี่ปีได้รับมอบหมายให้บังคับบัญชาทหารภาคพื้นดิน ส่วนแม่ทัพอิโก มู ซู ชาวอิกเกอร์ สายเลือกมองโกล ได้รับมอบหมายให้เตรียมเรือ และรวบรวมทหารเรือที่เชี่ยวชาญด้านยุทธนาวี ปลายปี พ.ศ. 1835 กองทัพใหญ่ได้เคลื่อนพลออกจากมณฑลจวนโจว พร้อมด้วยกำลังทหารจำนวน 20,000 นาย เรือลำเลียงพล 1,000 ลำเสบียงกรังสำหรับใช้ทั้งปี และแท่งเงินบริสุทธิ์น้ำหนักรวม 40,000 ออนซ์สำหรับใช้ซื้อหาสิ่งของเพิ่มเติม
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 1836 กองกำลังทหารราบของแม่ทัพชี่ปีได้ยกทัพขึ้นฝั่งส่วนแม่ทัพอิโก มู ซุ คุมกองเรือใกล้ชายฝั่ง พระเจ้าเกียรตินครแห่งชวาทรงทราบข่าวการโจมตีของกองทัพมองโกลใกล้จะเกิดขึ้น ดังนั้นพระองค์จึงรีบส่งกองทัพขนาดใหญ่ไปยังอาณาจักรจามปาและบางส่วนในคาบสมุทรมลายู ซึ่งพระองค์ทรงคาดว่าเป็นจุดที่กองทัพข้าศึกจะยกพลขึ้นฝั่งก่อนที่จะเคลื่อนพลมุ่งหน้าไปชวา แต่การส่งกองทัพใหญ่ไปอยู่ห่างไกล กลายเป็นจุดอ่อนของพระเจ้าเกียรตินคร สำหรับผู้นำอีกหลายฝ่ายที่ต่อต้านพระองค์ หนึ่งในกลุ่มผู้นำที่เป็นปรปักษ์พระองค์ก็คือ พระเจ้าชัยขัตติยวงศ์ผู้นำรัฐเคดิรี (ดาหา) ได้ก่อการปฏิวัติต่อต้านพระองค์โดยโจมตีกองทัพรักษาพระองค์จนแตกพ่าย และได้ปลงพระชนม์พระเจ้าเกียรตินครด้วยพระองค์เอง ในที่สุดอำนาจของพระเจ้าเกียรตินครก็ตกไปอยู่ในพระหัตถ์ของเจ้าชายวิชัยพระชามาดา (ราชบุตรเขย) ผู้ทรยศของพระองค์ ต่อมาพระองค์ทรงคิดหาทางแก้แค้นให้กับความพ่ายแพ้ของพระสัสสุระ (พ่อตา หมายถึง พระเจ้าเกียรตินคร) โดยพระองค์ได้ทรงเสนอยอมจำนนแก่กองทัพมองโกล ในทางกลับกันเพื่อให้ช่วยปราบปรามผู้ก่อการปฏิวัติอีกทอดหนึ่ง นายทหารคนสนิทของพระองค์เป็นคนนำความลับไปแจ้งแก่กองทัพมองโกลเกี่ยวกับการเข้าเมือง ท่าเรือ แม่น้ำ และแผนที่รัฐเคดิรี ทางกองทัพมองโกลตกลงร่วมปฏิบัติการโดยได้นำกองเรือแล่นตรงไปยังเมืองท่ารัฐเคดิรี ส่วนแม่ทัพชี่ปีนำกองทหารราบบุกขึ้นฝั่งแล้วเตรียมทัพโจมตี ภายในสัปดาห์เดียว กองทัพของเขาก็ได้เข้าปะทะกับกองทัพรัฐเคดิรี ผลการสู้รบกันอย่างหนักทำให้สังหารทหารรัฐเคดิรีได้ถึง 5,000 นายในที่สุดพระเจ้าชัยขัตติยวงศ์ทรงยอมแพ้และถูกตัดสินให้ปลงพระชนม์ทันที
แม้ว่ากองทัพมองโกลจะประสบความสำเร็จดังกล่าว แต่ผู้นำทั้งสองถูกหลอกโดยไม่มีใครคาดคิด เมื่อเจ้าชายวิชัยได้ตรัสขอให้จัดกำลังทหารมองโกลไม่ต้องติดอาวุธจำนวน 200 นาย คอยอารักขาตามเสร็จพระองค์ไปยังเมืองมัชปาหิต ซึ่งทรงอ้างว่าที่เมืองนั้นพระองค์ทรงเตรียมพิธียื่นข้อเสนอยอมจำนนผู้แทนกุบไลข่านอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าผู้นำทั้งสองของกองทัพมองโกลได้กราบทูลตกลงและเห็นด้วย โดยมิได้สงสัยพฤติกรรมการหลอกลวงของเจ้าชายวิชัยเลยแม้แต่น้อย
เหตุการณ์ร้ายได้เกิดขึ้น ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังเมืองมัชปาหิตกองกำลังทหารของเจ้าชายวิชัยได้ลอบซุ่มโจมตีทหารมองโกลที่ตามเสด็จไป ส่วนกองทัพมองโกลภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพชี่ปีและแม่ทัพอิโก มู ซุ ซึ่งรออยู่ที่เมืองเคดิรี ถูกกองทัพใหญ่ของเจ้าชายวิชัยโอบล้อมโจมตีโดยที่ไม่มีใครคาดคิด แม่ทัพมองโกลทั้งสองได้นำกองกำลังตีฝ่าวงล้อมเพื่อมุ่งหน้าไปยังกองเรือที่จอดอยู่ท่าเรือ ในที่สุดแม่ทัพชี่ปีถึงกับต้องล่าถอย และตัดสินใจวิ่งหนีไปยังเรือที่จอดอยู่ที่ท่าเรือ แต่ปรากฏว่าเขาต้องสูญเสียชีวิตของทหารราบไปกว่าสามพันคน เมื่อกลับไปถึงมองโกล กุบไลข่านก็ได้สวรรคตในปี พ.ศ. 1837 และก็ไม่มีผู้นำคนใดที่จะนำกองทัพไปปราบปรามอาณาจักรสิงหะส่าหรี (อินโดนีเซีย) อีกเลย

วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง[แก้]

  • สุดขั้วยุทธภพ
  • ดาบมังกรหยก
  • ดาบมังกรหยก กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร
  • ราชวงศ์หมิง หรือ ราชวงศ์เบ๋ง (ฮกเกี้ยน) หรือ ราชวงศ์เม้ง (แต้จิ๋ว) เป็นราชวงศ์ที่ปกครองจักรวรรดิจีน ระหว่าง พ.ศ. 1911 (ค.ศ. 1368) ถึง พ.ศ. 2187 (ค.ศ. 1644) เป็นเวลารวม 276 ปี โดยปกครองต่อจากราชวงศ์หยวนของชาวมองโกลและพ่ายแพ้ให้กับราชวงศ์ชิงของชาวแมนจูในภายหลัง ราชวงศ์หมิงเป็นราชวงศ์ที่รุ่งเรืองในด้านวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก ในยุคนี้มีการสำรวจทางทะเลอย่างกว้างขวาง ราชวงศ์หมิงในตอนต้น (1368 - 1464) ถือเป็นอาณาจักรที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลานั้น
  • ช่วงปลายราชวงศ์หยวน ชาวฮั่นหลายกลุ่มได้ก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์หยวนและฟื้นฟูราชวงศ์ของชาวฮั่น กลุ่มที่มีอิทธิพลที่สุดคือลัทธิบัวขาวซึ่งก่อกบฏโพกผ้าแดงตั้งแต่ พ.ศ. 1904 จนสามารถโค่นล้มราชวงศ์หยวนได้สำเร็จในปี พ.ศ. 1911
    จู หยวนจาง ผู้นำคนหนึ่งของฝ่ายกบฏ ได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิหงหวู่ หรือหมิงไท่จู่ ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์หมิง ตั้งกรุงหนานจิงเป็นราชธานี ตลอด 31 ปีแห่งการครองอำนาจ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ได้เสริมสร้างระบอบรวมศูนย์อำนาจรัฐเผด็จการแบบศักดินาให้เข้มแข็งขึ้นอย่างสุดความสามารถ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ประหารขุนนางผู้มีคุณูปการ ฆ่าผู้คนที่มีความเห็นที่ไม่เหมือนพระองค์ เพิ่มอำนาจของจักรพรรดิให้มากขึ้น ปราบปรามอิทธิพลที่ต่อต้านพระองค์ หลังจากจักรพรรดิหมิงไท่จู่สวรรคตแล้ว จักรพรรดิจูเอี้ยนเหวินซึ่งเป็นพระราชนัดดาองค์หนึ่งได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาไม่นาน จูตี้ ผู้เป็นปิตุลาของจักรพรรดิเอี้ยนเหวินซึ่งเป็นได้ลุกขึ้นต่อสู้และโค่นอำนาจรัฐของจักรพรรดิเอี้ยนเหวินลง จูตี้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหมิง เฉิงจู่หรือจักรพรรดิหย่งเล่อ ในปี พ.ศ. 1964 (ค.ศ. 1421) จักรพรรดิหย่งเล่อได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองหนานจิงไปยังกรุงปักกิ่ง
    แม้รัฐบาลของราชวงศ์หมิงจะเสริมระบอบรวมศูนย์อำนาจรัฐให้มากขึ้นก็ตาม แต่มีจักรพรรดิหลายองค์ไม่ทรงพระปรีชาหรือไม่ก็ทรงพระเยาว์ ไม่สนพระทัยการบริหารประเทศ อำนาจจึงตกอยู่ในมือของเสนาบดีและขันที พวกเขาทุจริตคดโกงและขู่เข็ญรีดเอาเงิน ทำร้ายขุนนางที่ซื่อสัตย์ กิจการบริหารบ้านเมืองเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ความขัดแย้งในสังคมรุนแรง ช่วงกลางสมัยราชวงศ์หมิงจึงเกิดการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวนาหลายครั้งหลายหนแต่ถูกปราบปรามลงได้ในสมัยราชวงศ์หมิง เคยมีนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชื่อจาง จวีเจิ้ง สามารถคลี่คลายความขัดแย้งกันทางสังคมและกอบกู้การปกครองของราชวงศ์หมิงด้วยวิธีดำเนินการปฏิรูป เขาปรับปรุงระบบขุนนาง พัฒนาการเกษตร ซ่อมแซมแม่น้ำและคูคลอง และได้รวมภาษีอากรและการกะเกณฑ์บังคับต่างๆเป็นหนึ่งเดียวได้ช่วยลดภาระของประชาชนลงไปได้บ้างระดับหนึ่งในสมัยหมิง การเกษตรพัฒนามากขึ้นกว่ายุคก่อน การทอผ้าไหมและการผลิตเครื่องเคลือบดินเผามีความก้าวหน้ารุ่งเรือง การทำเหมืองเหล็ก การหล่อเครื่องทองเหลือง การผลิตกระดาษ การต่อเรือเป็นต้นก็มีการพัฒนาอย่างมาก การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศมีบ่อยครั้ง เจิ้งเหอซึ่งชาวไทยเรียกกันว่าซำปอกงได้นำกองเรือจีนไปเยือนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาทั้งหมดกว่า30ประเทศถึง 7 ครั้งตามลำดับ แต่หลังช่วงกลางราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา จีนถูกการรุกรานจากหลายประเทศรวมทั้งญี่ปุ่น สเปน โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์เป็นต้น
    ช่วงปลายราชวงศ์หมิง สภาพการผูกขาดที่ดินรุนแรงมาก พระราชวงศ์และบรรดาเจ้านายที่ได้รับการแต่งตั้งมีที่ดินกระจายอยู่ทั่วประเทศ ภาษีอากรของรัฐบาลก็นับวันมากขึ้น ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นต่างๆของสังคมก็นับวันรุนแรงขึ้น มีเสนาบดีและขุนนางบางคนพยายามจะคลี่คลายความขัดแย้งในสังคมให้เบาบางลง และเรียกร้องให้ยับยั้งสิทธิ พิเศษของเสนาบดีขันทีและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย เสนาบดีเหล่านี้เทียวบรรยายวิชาการและวิพากษ์วิจารณ์การเมืองจึงถูกเรียกกันว่าเป็น”พรรคตงหลินตั่ง” แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถูกเสนาบดีขันทีและขุนนางที่มีอำนาจโจมตีและทำร้าย ซึ่งยิ่งทำให้สังคมวุ่นวายมากยิ่งขึ้นการต่อสู้ในชนบทก็ทวีความรุนแรงขึ้น ในปี พ.ศ. 2170 (ค.ศ. 1627) มณฑลส่านซีเกิดทุพภิกขภัย แต่ข้าราชการยังคงบีบบังคับให้ประชาชนจ่ายภาษี จนทำให้เกิดการลุกขึ้นต่อสู้ ประชาชนที่ประสบภัยเป็นพันเป็นหมื่นรวมตัวขึ้นเป็นกองทหารชาวนาหลายกลุ่มหลายสาย ปี พ.ศ. 2187 (ค.ศ. 1644) กองทหารชาวนา นำโดยหลี่ จื้อเฉิง บุกเข้าไปถึงกรุงปักกิ่ง จักรพรรดิฉงเจินซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงต้องผูกพระศอสิ้นพระชนม์

    การเดินทางของเจิ้งเหอและต้นเค้าของการล่าอาณานิคมภาคพื้นทะเลในสมัยราชวงศ์หมิง[แก้]

    ดูบทความหลักที่: เจิ้งเหอ
    (1)
    (2)
    (3)
    ภาพจากซ้ายไปขวา:
    (1) เส้นทางการเดินเรือของเจิ้งเหอ
    (2) ภาพพิมพ์แกะไม้ สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นภาพเรือสำเภาสำรวจของเจิ้งเหอ
    (3) หุ่นขี้ผึ้งของเจิ้งเหอ ในพิพิธภัณฑ์ทางทะเลกวนโจว
    การเดินทางของเจิ้งเหอมีจุดประสงค์ที่จะผูกมิตรกับอาณาจักรต่างๆโดยจักรพรรดิหย่งเล่อทรงส่งเจิ้งเหอเป็นแม่ทัพเรือราชวงศ์หมิงนำกองเรือขนาดยักษ์ไปตามหาจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ซึ่งการเดินทางเจิ้งเหอก็ต้องใช้กำลังทหารปราบปรามบ้างเพื่อแสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือราชวงศ์หมิงนั้นมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกชนชาติ เจิ้งเหอได้สั่งให้มีปฏิบัติการทางทหารดังต่อไปนี้
    • การโจมตีท่าเรือเก่า:สถานผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยในสุมาตรา เมื่อ ค.ศ. 1407
    • เหตุอันรุนแรงในชวา เมื่อ ค.ศ. 1407
    • การกดดันข่มขู่พม่า]ใน ค.ศ. 1409
    • การโจมตีศรีลังกาใน ค.ศ. 1411
    • โจมตีและจับกุม ซู-กาน-ลา (Su-Gan-La) แห่งสมุทรา ค.ศ. 1415
    • ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่อยุธยา

    รายพระนามจักรพรรดิราชวงศ์หมิง[แก้]

  • ราชวงศ์ชิง

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    จักรวรรดิต้าชิง
    大清帝國
    ต้าชิงตี้กว๋อ
    จักรวรรดิ
     

     
    พ.ศ. 2187–2455 
    ธง (พ.ศ. 2433 – 2455)ตราพระราชสัญจักร
    เพลงชาติ
    ก่งจินโอว (Gong Jin'ou)
    ("ขอให้จักรวรรดิของเราจงเข้มแข็ง")
    MENU
    0:00
    อาณาเขตของจักรวรรดิชิงในปี พ.ศ. 2433
    เมืองหลวงเสิ่นหยาง (พ.ศ. 2179 – 2187)
    ปักกิ่ง (2187 – 2455)
    ภาษาภาษาจีน
    ภาษาแมนจู
    ภาษามองโกล
    รัฐบาลราชาธิปไตย
    จักรพรรดิ
     - พ.ศ. 2169 - 2186หวงไท่จี๋
     - พ.ศ. 2451 - 2467จักรพรรดิเซวียนถ่ง
    อัครมหาเสนาบดี
     - พ.ศ. 2454ยี่กวัง เจ้าแห่งชิง
     - พ.ศ. 2454 - 2455หยวน ซื่อไข่
    ประวัติศาสตร์
     - การก่อตั้งจินพ.ศ. 2159
     - เปลี่ยนชื่อจาก "จิน" เป็น "ชิง"พ.ศ. 2187
     - ยึดกรุงปักกิ่ง6 มิถุนายน พ.ศ. 2187
     - การปฏิวัติซินไฮ่12 กุมภาพันธ์ 2455
    ประชากร
     - พ.ศ. 2283 ประมาณการ140,000,000 
     - พ.ศ. 2319 ประมาณการ311,500,000 
     - พ.ศ. 2355 ประมาณการ360,000,000 
     - พ.ศ. 2363 ประมาณการ383,100,000 
     - พ.ศ. 2441 ประมาณการ319,720,000 
    จักรวรรดิชิง
    ชื่อจีน
    จีน
    มหาจักรวรรดิชิง
    จีนตัวเต็ม帝國
    จีนตัวย่อ帝国
    ชื่อแมนจู
    แมนจูDaicing gurun.svg (ไดชิง กูรุง)
    Amaga aisin gurun1.png (อมากา ไอซิง กูรุง)
    ประวัติศาสตร์จีน
    ประวัติศาสตร์จีน
    ยุคโบราณ
    สามราชาห้าจักรพรรดิ
    ราชวงศ์เซี่ย 2100–1600 BCE
    ราชวงศ์ซาง 1600–1046 BCE
    ราชวงศ์โจว 1045–256 BCE
      ราชวงศ์โจวตะวันตก 1046–771 BCE
      ราชวงศ์โจวตะวันออก 771–256 BCE
       ยุควสันตสารท
       ยุครณรัฐ
    ยุคจักรวรรดิ
    ราชวงศ์ฉิน 221 BCE–206 BCE
    ราชวงศ์ฮั่น 206 BCE–220 CE
      ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
      ราชวงศ์ซิน
      ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
    ยุคสามก๊ก 220–280
      เว่ย สู่ และ หวู
    ราชวงศ์จิ้น 265–420
      จิ้นตะวันตกยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น 304–439
      จิ้นตะวันออก
    ราชวงศ์เหนือ-ใต้ 420–589
    ราชวงศ์สุย 581–618
    ราชวงศ์ถัง 618–907
      ( ราชวงศ์อู่โจว 690–705 )
    ยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร
    907–960
    ราชวงศ์เหลียว
    907–1125
    ราชวงศ์ซ่ง
    960–1279
      ราชวงศ์ซ่งเหนือเซี่ยตะวันตก
      ราชวงศ์ซ่งใต้จิน
    ราชวงศ์หยวน 1271–1368
    ราชวงศ์หมิง 1368–1644
    ราชวงศ์ชิง 1644–1911
    ยุคใหม่
    สาธารณรัฐจีน 1912–1949
    สาธารณรัฐประชาชนจีน(จีนแผ่นดินใหญ่1949–ปัจจุบันสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน)
    1949–ปัจจุบัน
    จัดการ: แม่แบบ  พูดคุย  แก้ไข
    ราชวงศ์ชิง (พ.ศ. 2187 - 2455)(ภาษาแมนจูDaicing gurun.png daicing gurun; ภาษาจีน:清朝 ; พินอิน: qīng cháo ชิงเฉา ; ) หรือบางครั้งเรียกว่า ราชวงศ์แมนจู ปกครองแผ่นดินจีนต่อจากราชวงศ์หมิง และถือเป็นราชวงศ์สุดท้ายของประเทศจีน ตั้งแต่ พ.ศ. 2187 ถึง พ.ศ. 2455
    ราชวงศ์ชิงไม่ได้ก่อตั้งโดยชาวฮั่นซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศจีน แต่เป็นชาวแมนจูซึ่งอาศัยอยู่ในเขตแมนจูเรีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบัน ในสมัยนั้น ชาวแมนจูเพียงเป็นชนกลุ่มน้อยเร่ร่อนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งยังไม่มีคนรู้จักมากนั้น ในช่วงที่ราชวงศ์หมิงของชาวจีนฮั่นอยู่ในสภาพอ่อนแอ เกิดจลาจลและการเมืองไร้เสถียรภาพ
    ราชวงศ์ชิงนั้นได้ก่อตั้งโดยชนเผ่าหนู่เจิน โดยตระกูลอ้ายซินเจว๋หลัวเป็นผู้นำ ตั้งอยู่ในดินแดนแมนจูเรีย ในปลายศตวรรษที่สิบหก นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ผู้นำเผ่าหนู่เจินได้แข็งข้อไม่ยอมขึ้นกับราชวงศ์หมิงและได้เริ่มจัดตั้งกองทัพแปดกองธงขึ้น ซึ่งเป็นกองทัพที่รวมเผ่าต่างๆเข้าด้วยกัน อันได้แก่ ชาวหนู่เจินชาวจีนฮั่นและ ชาวมองโกล นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ได้รวมเผ่าหนู่เจินเป็นปึกแผ่นและเปลี่ยนชื่อเป็น แมนจู นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ถือได้ว่าเป็นผู้นำชาวแมนจูคนแรกที่ได้ถือโอกาสรวบรวมกำลังพล ในปี พ.ศ. 2179 หฺวัง ไถจี๋ โอรสของนู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ได้นำกองทัพขับไล่กองทัพราชวงศ์หมิงออกจากคาบสมุทรเหลียวตง และก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ ชื่อว่า ราชวงศ์ชิง
    ในปี พ.ศ. 2187 ได้เกิดกบฎชาวนานำโดย หลี่ จื้อเฉิง นำกำลังเข้ายึดกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของราชวงศ์หมิง นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์หมิง หลี่ จื้อเฉิงได้ตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิก่อตั้งราชวงศ์ชุนขึ้นมาแทน ในขณะเดียวกันผู้นำราชวงศ์ชิง จักรพรรดิซุ่นจื้อ ได้เริ่มนำกองทัพรุกรานแผ่นดินจีนและล้อมกรุงปักกิ่ง อู๋ ซานกุ้ย แม่ทัพราชวงศ์หมิงผู้ทรยศ ได้แอบติดต่อกับกองทัพแมนจูลับๆ และเปิดประตูป้อมด่านซันไห่ ทำให้กองทัพแมนจูแปดกองธง นำโดยตัวเอ่อร์กุ่น เข้ายึดกรุงปักกิ่งได้สำเร็จ ราชวงศ์ชุนล่มสลาย
    เมื่อกองทัพแมนจูนำเข้าบุกยึดกรุงปักกิ่งซึ่งเป็นอดีตราชธานีของราชวงศ์หมิงได้ จักรพรรดิซุ่นจื้อได้สถาปนา จักรวรรดิต้าชิง (ภาษาจีน: 大清帝國, พินอิน: dàqīngdìguó) แต่ในระยะแรกของปกครองของราชวงศ์ชิง ชาวแมนจูได้เรียกตำแหน่งจักรพรรดิของตนว่า ข่าน ตามแบบมองโกล จักรพรรดิแมนจูยังทรงให้การอุปถัมภ์ศาสนาพุทธแบบทิเบต ราชวงศ์ชิงปกครองโดยใช้รูปแบบขงจื๊อ แต่ในการปกครองนั้นยังมีชาวจีนฮั่นที่ต่อต้านการปกครองของชาวแมนจูอยู่ และได้รวมตัวกันเป็นอาณาจักรหมิงใต้และได้เกิดกบฏสามเจ้าศักดินา ของอู๋ ซานกุ้ย แต่ก่อกบฎของชาวฮั่นได้ถูกทางการราชวงศ์ชิงปราบปรามได้สำเร็จ ในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซี (พ.ศ. 2204–2265) ภายหลังการต่อต้านของชาวฮั่นนั้นทำให้ราชวงศ์ชิงหันมาใช้นโยบายประนีประนอมและผ่อนปรน โดยอนุญาตให้ชาวฮั่นมีสิทธิ์สอบจอหงวนเข้ารับราชการ และมีสิทธิ์เท่าเทียมกับชาวแมนจูได้บางอย่าง
    ในรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงถือเป็นยุคทองที่รุ่งเรืองของราชวงศ์ชิง พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะขยายอาณาเขตของจักรวรรดิต้าชิงโดยรวมเอเชียกลางและบางส่วนของ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ พม่าและเวียดนาม สิ่งนำไปสู่การรบครั้งใหญ่หรือที่เรียกว่า สิบการทัพใหญ่ ตลอดรัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงมีการใช้ระบบรัฐบรรณาการหรือจิ้มก้อง โดยจะมีการเรียกเครื่องราชบรรณาการจากบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน
    ในปลายสมัยของราชวงศ์ชิง ถือว่าได้เป็นยุคตกต่ำของราชวงศ์ เนื่องจากได้เกิดจักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคมขึ้น ประเทศตะวันตกในยุโรป ได้เริ่มล่าอาณานิคมในเมืองจีน โดยมีจักรวรรดิอังกฤษเป็นชาติแรก อังกฤษได้นำฝิ่นมามอมเมาชาวจีนทำให้ราชสำนักชิงอ่อนแอ นำไปสู่สงครามฝิ่นถึง 2 ครั้ง ซึ่งราชวงศ์ชิงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทำให้ต้องสูญเสียเกาะฮ่องกงแก่อังกฤษ อีกทั้งต้องทำสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมจำนวนมากกับชาติตะวันตก และต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ราชวงศ์ชิงยังพ่ายแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง ซึ่งทำให้จีนสูญเสียเกาหลีและเกาะไต้หวัน แก่ญี่ปุ่น อีกทั้งการเกิดกบฎนักมวย ในปี พ.ศ. 2442 ทำให้ชาวจีนรู้สึกอัปยศอดสูเป็นอย่างมาก จักรพรรดิกวางสูได้ทรงพยายามทำการปฏิรูปพัฒนาประเทศให้ทันสมัยแต่แผนการของพระองค์กลับถูกทำลายลงโดย พระนางซูสีไทเฮา ซึ่งถือเป็นผู้ขัดขวางการพัฒนาสู่สมัยใหม่ของจักรวรรดิต้าชิง
    ตลอดระยะเวลาที่ราชวงศ์ชิงระส่ำระส่าย เป็นประเทศล้าหลังและวุ่นวาย ชาวจีนถูกชาวตะวันตกและญี่ปุ่น ขนานนามว่าเป็น ขี้โรคแห่งเอเชีย ทำให้ชาวจีนบางส่วนต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของประเทศ โดยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เจริญและเป็นประชาธิปไตย โดยมีขบวนการถงเหมิงฮุ่ย มี ดร. ซุน ยัตเซ็น เป็นผู้นำ ราชวงศ์ชิงครองแผ่นดินจีนจนถึงปี พ.ศ. 2454 เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ซึ่งเป็นการลุกฮือต่อต้านราชวงศ์ชิง ราชวงศ์ชิงถูกยึดอำนาจในปีนั้น และใน พ.ศ. 2455 จักรพรรดิผู่อี๋จักรพรรดิองค์สุดท้ายถูกบังคับให้สละราชสมบัติ ถือเป็นจุดอวสานของราชวงศ์ชิง และการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นเวลานับ 5,000 ปีของประวัติศาสตร์จีน ถงเหมิงฮุ่ยได้เปลี่ยนแปลงประเทศนำไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย และมีชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐจีน
  • ประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งในสงครามกลางเมืองจีน เหมา เจ๋อตุง ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ที่กรุงปักกิ่งบน จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อปกครองจีนแผ่นดินใหญ่
  • เหมา เจ๋อตุง (ค.ศ. 1949–1976)[แก้]

    หลังสงครามภายในจีนและชัยชนะเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนของพรรคก๊กมินตั๋งกำลังของเจียง ไคเช็ก อพยพไปที่เกาะไต้หวัน ประตูชัยแรกรวมตรวจระบบความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและที่ดินกว้างใหญ่ทำให้ดีขึ้นจากระบบที่ดินศักดินาที่เจ้าของที่ดินของจีนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของที่ดินเพาะปลูก ชาวไร่ ชาวนา และคนทำงานถูกเคลื่อนย้ายกับระบบการจัดจำหน่ายที่เท่ากันมากกว่าในความกรุณากว่ามั่งมีต่อชาวไร่ชาวนา เหมาเน้นหนักวางบน การต่อสู้ห้องเรียนและงานตามทฤษฎีและในปี 1953 เริ่มต้นการโฆษณาต่างๆ เพื่อปิดบังเจ้าของที่ดินก่อนและนายทุนทั้งหลาย

    เติ้ง เสี่ยวผิง (ค.ศ. 1976–1989)[แก้]

    เหมา เจ๋อตุง ถึงแก่ความตายและในที่สุด เติ้ง เสี่ยวผิง ก็ได้เป็นผู้นำของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1980 จีนที่ลงทุนเพื่อทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นและใช้นโยบายซึ่งเริ่มต้นติดตามกับแห่งอุตสาหกรรมทำให้จุดมุ่งหมายดีขึ้นที่คอนโทรลการปกครองในเซ็กเตอร์แห่งอุตสาหกรรมบนมรดกของหัวข้อของ เหมา เจ๋อตุง เติ้ง เสี่ยวผิง มีแนวความคิดของพื้นที่ในทางเศรษฐกิจพิเศษโดยใช้ เซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจแรกของประเทศที่ซึ่งลงทุนต่างประเทศจะถูกยอมเพื่อไหลในโดยปราศจากการยับยั้งการปกครองเคร่งครัดและข้อบังคับการวิ่งในระบบทุนนิยมอย่างง่าย เติ้ง เสี่ยวผิง เน้นวางบนอุตสาหกรรมที่สว่างเป็นหินที่ก้าวเพื่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมหนักการสนับสนุนของ เติ้ง เสี่ยวผิง ทำให้เศรษฐกิจจีนดีขึ้นชี้การพัฒนารวดเร็วของเศรษฐกิจจีน

    การเติบโตทางเศรษฐกิจภาคใต้ของจีน (ค.ศ. 1989–2002)[แก้]

    นำโดยเจียง เจ๋อหมิน เป็นเศรษฐกิจที่เติบโตทั้งๆ ที่การห้ามนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยในปี ค.ศ. 1990 เจียง เจ๋อหมิน ทำให้วิสัยทัศน์ของเติ้ง เสี่ยวผิง ที่ไกลกว่าสำหรับระบบสังคมนิยมกับคนจีนในเวลาเดียวกัน เจียง เจ๋อหมินปรับระยะเวลาที่ดำเนินต่อไปขี้นในการรับสินบนทางสังคมผลกำไรเป็นได้ถูกปิดเพื่อทำวิธีสำหรับแข่งขันกันมากขึ้นการลงทุนอย่างภายในและต่างประเทศที่จัดเตรียมไว้พร้อมระบบความผาสุกทางสังคมถูกใส่ในการทดสอบจริงจัง เจียง เจ๋อหมิน ยังเน้นหนักวางบนความก้าวหน้าแบบวิทยาศาสตร์และทางเทคโนโลยีในพื้นที่ เช่น การค้นหาช่องว่างเพื่อทนรับการบริโภคมนุษย์กว้างใหญ่การดึงดูดการสนับสนุนและคำวิจารณ์แพร่หลายมลพิษทางสิ่งแวดล้อมกลายเป็นปัญหาจริงจังมากเป็นที่ปักกิ่งบ่อย

    สาธารณรัฐประชาชนจีน (ค.ศ. 2002–ปัจจุบัน)[แก้]

    วิกฤตกาลหลักแรกที่จีนเผชิญในศตวรรษที่ 21 เป็นการก่อกำเนิดใหม่ของผู้นำนำโดยหู จิ่นเทา คือสมมุติว่าพลังที่รวมอยู่ด้วยวิกฤตกาลสาธารณสุขสงครามบนความตกใจกลัววาดประเทศแต่ถูกวิจารณ์เป็นข้ออ้างสำหรับการแสดงว่าถูกต้องการติดแสตมป์ออกจากซินเจียง โจรแยกดินแดนทำให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปเพื่อเติบโตในหมายเลขหลักเป็นการพัฒนาของพื้นที่ในถิ่นชนบทกลายเป็นที่สนใจหลักของนโยบายการปกครองในขั้นตอนทีละน้อยเพื่อรวมเป็นปึกแผ่นพลังของเขา หู จิ่นเทา หัวหน้างานสังสรรค์เอาเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางการค้าของจีน

ประวัติศาสตร์จีน

สามราชาห้าจักรพรรดิ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ประวัติศาสตร์จีน ยุคโบราณ สามราชาห้าจักรพรรดิ ราชวงศ์เซี่ย   2100–1600 BC...