ประวัติศาสตร์อินเดีย อารยธรรมอินเดีย อารยธรรมอินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอายุเก่าแก่ไม่แพ้อารยธรรมแหล่งอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (ประมาณ 2,500-1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ถือว่าเป็นสมัยอารยธรรม “กึ่งก่อนประวัติศาสตร์” เพราะมีการค้นพบหลักฐานจารึกเป็นตัวอักษรโบราณแล้วแต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก และไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอักษรหรือภาษาเขียนจริงหรือไม่ ศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เมืองโมเฮนโจ – ดาโร และเมืองฮารัปปา ริมฝั่งแม่น้ำสินธุประเทศปากีสถานในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเป็นอารยธรรมของชนพื้นเมืองเดิม ที่เรียกว่า “ทราวิฑ” หรือพวกดราวิเดียน (Dravidian)
2. สมัยพระเวท (ประมาณ 1,500-600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-อารยัน (Indo-Aryan) ซึ่ง อพยพมาจากเอเชียกลาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคาโดยขับไล่ชนพื้น เมืองทราวิฑให้ถอยร่นลงไปทางตอนใต้ของอินเดีย สมัยพระเวทแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ หลักฐานที่ทำให้ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์พระเวท” ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากนี้ยังมีบทประพันธ์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ มหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ บางทีจึงเรียกว่าเป็นยุคมหากาพย์
3. สมัยพุทธกาล หรือสมัยก่อนราชวงศ์เมารยะ (Maurya) ประมาณ 600-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงที่อินเดียถือกำเนิดศาสนาที่สำคัญ 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธและศาสนาเชน
4. สมัยจักรวรรดิเมารยะ (Maurya) ประมาณ 321-184 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าจันทรคุปต์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เมารยะได้รวบรวมแว่นแคว้นในดินแดนชมพู ทวีปให้เป็นปึกแผ่นภายใต้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของอินเดีย
สมัยราชวงศ์เมารยะ พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์ให้เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (Asoka) ได้ เผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนทั้งใกล้และไกล รวมทั้งดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินไทยในยุคสมัยที่ยังเป็นอาณาจักรทวารวดี
5. สมัยราชวงศ์กุษาณะ (ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ.320 ) พวกกุษาณะ (Kushana)เป็น ชนต่างชาติที่เข้ามารุกรานและตั้งอาณาจักรปกครองอินเดียทางตอนเหนือ กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้ากนิษกะ รัชสมัยของพระองค์อินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ โดยเฉพาะด้านการแพทย์ นอก จากนั้น ยังทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา (นิกายมหายาน) ให้เจริญรุ่งเรือง โดยจัดส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระศาสนายังจีนและทิเบต มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีศิลปะงดงาม และสร้างเจดีย์ใหญ่ที่เมืองเปชะวาร์
6. สมัยจักรวรรดิคุปตะ (Gupta) ประมาณ ค.ศ.320-550 พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ต้นราชวงศ์คุปตะได้ทรงรวบรวมอินเดียให้เป็นจักรวรรดิอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอดจนการค้าขายกับต่างประเทศ
7. สมัยหลังราชวงศ์คุปตะ หรือยุคกลางของอินเดีย (ค.ศ.550 – 1206) เป็นยุคที่จักรวรรดิแตกแยกเป็นแคว้นหรืออาณาจักรจำนวนมาก ต่างมีราชวงศ์แยกปกครองกันเอง
8. สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี หรืออาณาจักรเดลฮี (ค.ศ. 1206-1526) เป็นยุคที่พวกมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย มีสุลต่านเป็นผู้ปกครองที่เมืองเดลฮี
9. สมัยจักรวรรดิโมกุล (Mughul) ประมาณ ค.ศ. 1526 – 1858 พระเจ้าบาบูร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โมกุลได้รวบรวมอินเดียให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิอิสลามและเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอินเดีย โดยอินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1858กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช (Akbar) ทรงทะนุบำรุงอินเดียให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน และในสมัยของชาห์ เจฮัน (Shah Jahan) ทรงสร้าง “ทัชมาฮัล” (Taj Mahal) ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะอินเดียและเปอร์เซียที่มีความงดงามยิ่ง
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นอารยธรรมในยุคสำริด (ประมาณ 2500 - 1900 ก่อนคริสตกาล) ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน ถือเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก ซึ่งนักโบราณคดีเรียกว่ายุคฮารัปปัน วัฒนธรรมเก่าสุดเริ่มจาก
- เมืองอัมรี (Amri) บริเวณปากแม่น้ำสินธุ อายุ 4,000 B.C. พบเครื่องปั้นดินเผาระบายสี คล้ายของเมโสโปเตเมีย
- เมืองฮารับปา และโมเหนโจ –ดาโร อายุ 2,600 – 1,900 B.C.
- เมืองชุคาร์ และจันหุดาโร อายุ 1,000 – 500 B.C.
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ มีเมืองสำคัญที่ได้รับการขุดค้นแล้ว 2 แห่ง คือ เมืองฮารับปา และโมเหนโจ – ดาโร ทั้งสองเมืองมีอารยธรรมที่เหมือนกันทุกประการ แม้ห่างกัน 350 ไมล์(600 กิโลเมตร) จัดเป็นสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ อินเดีย เพราะพบจารึกจำนวนมาก แต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุถูกโจมตีอย่างรุนแรง พบโครงกระดูกถูกฆ่าตายจำนวนมาก หรืออาจล่มสลายเพราะภัยธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม หรือโรคระบาด หรือเพราะความมั่งคั่ง
ชาวอารยันผู้รุกราน ค่อยๆแพร่จากภาคเหนือไปทางตะวันออก และลงไปทางใต้อย่างช้าๆ ลงไปยังดินแดนคาบสมุทรเดคข่าน (ซึ่งยังเป็นวัฒนธรรมหินใหม่อยู่) นำเอาทองแดง และเหล็กไปเผยแพร่ ทางใต้จึงเปลี่ยนจากหินใหม่เป็นโลหะทันที
เมื่ออารยันตั้งหลักแหล่งในประเทศอินเดียแล้ว จึงเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์อินเดียอย่างแท้จริง
ลักษณะสำคัญของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ[แก้]
คือ ความเป็นแบบเดียวกัน (Uniformity) และ เป็นอนุรักษนิยม(Conservation)
- การวางผังเมือง (City Planning) แผนผังมีระเบียบ งดงาม มีถนนตัดกัน แบ่งเมืองเป็นตารางแยกพื้นที่ใช้สอยออกจากกัน เช่นที่อยู่อาศัย อาคารสาธารณะ ที่อยู่ช่างฝีมือ ยุ้งข้าว ป่าช้า ท่าเรือ พื้นที่ทางศาสนา? แสดงถึงความรู้ด้านวิศวกรรมการสำรวจและเรขาคณิตอย่างดี
- มีถนน และซอยตัดกันเป็นมุมฉาก บ้านอยู่ 2 ฟาก ถนนมีเสาตะเกียงเป็นระยะๆ
- การสุขาภิบาล มีประสิทธิภาพมาก ทุกบ้านมีห้องน้ำ มีท่อระบายน้ำเสีย-น้ำดี พบอ่างอาบน้ำใหญ่ เจริญกว่าอารยธรรมอื่นจนสมัยโรมันจึงมีห้องน้ำดีๆเทียบได้
- มีการสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการเพื่อกันผู้รุกราน มีอาวุธ กระสุนดินเผา
- การค้าและการขนส่ง ติดต่อเอเชียกลาง อัฟกานิสถาน เปอร์เซีย อินเดียตอนใต้ เพื่อนำวัตถุดิบมาผลิตเครื่องใช้เครื่องประดับ พบภาพเรือบนดวงตรา ลักษณะเรือคล้ายอียิปต์ พบอูฐ พาหนะเทียมเกวียนเทียมวัว มี 2 ล้อ 4 ล้อ พบลูกตุ้มน้ำหนัก
- การเพาะปลูก ทานข้าวสาลีเป็นอาหารหลัก
- เลี้ยงสัตว์ สุนัข วัว ควาย หมู แกะ ปลา ไก่ ลา ช้าง แมว
- ที่อยู่อาศัย ลักษณะอาคารแบบเดียวกันหมด หลังคาแบนราบ มีบ้านใหญ่ บ้านเล็ก ชั้นเดียวและหลายชั้น มีห้องเดียวถึงหลายห้อง สร้างแบบเรียบๆไม่มีการประดับประดา อาคารทำด้วยอิฐเผาไฟ อิฐขนาดเดียวกันทั้งหมด
- การแต่งกาย ใช้ผ้าฝ้าย และหนังสัตว์ ชาย/หญิง แต่งกายด้วยผ้า 2 ชิ้น ล่างเป็นผ้านุ่งแบบโธติ มีเชือกคาดเอว ท่อนบนเปิดไหล่ขวา มีเครื่องประดับผม และเครื่องประดับอื่นๆ เช่นสร้อย กำไล หวี แหวน เข็มขัด ตุ้มหู ผู้ชายไว้ผมยาว มีสายคาดศีรษะ ผู้หญิงมีทรงผมหลายแบบ
- ศิลปกรรม ไม่พบศิลปกรรมชิ้นใหญ่เลย เช่น รูปแกะสลักจากหินรูปชายมีเครา(อาจเป็นนักบวช) สูง 7 นิ้ว ที่เมืองโมเหนโจ -ดาโร รูปหญิงสาวในท่าร่ายรำ ทำด้วยสำริด หน้าตาพื้นเมือง รูปสลักหินผู้ชายคล้ายศิลปะกรีกโบราณ รูปปั้นดินเผาชาย/หญิง รูปปั้นสัตว์ เช่น วัวตัวผู้ ควาย สุนัข แกะ ช้าง แรด หมู ลิง เต่า นก พบเกวียนมีล้อ เกวียนเทียมวัว เป็นของเด็กเล่น พบภาชนะดินเผา ภาชนะโลหะ
- พบนกหวีด พบลูกเต๋า พบของเขย่าเด็กเล่น พบช้อนดินเผา
- โดยเฉพาะตราประทับ พบมากกว่า 2,000 อัน สลักจากหิน บนตรามีตัวอักษรและมีภาพสัตว์ต่างๆ ภาพสัตว์ผสมหมีกึ่งคน สัตว์ในจินตนาการ 3-6 หัว ภาพคนใต้ต้นไม้มีสัตว์ล้อมรอบ อาจเป็นต้นเค้าพระศิวะต่อมา ภาพต้นโพธิ์ ภาพวัวหน้าแท่นบูชาหรือรางหญ้า ภาพผู้หญิงกับต้นไม้(ยักษิณี) ภาพเรือ ดวงตราสลักฝีมือประณีตมาก ถูกต้องตามลักษณะธรรมชาติ อาจเป็นดวงตราบริษัทการค้า หรือของพ่อค้าแต่ละคน หรือของคนสำคัญประจำตัว หรือเครื่องรางของขลัง
- ศาสนา ไม่พบโบสถ์วิหารใหญ่โต แต่ชาวสินธุคงนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เช่น เทพีเจ้าแม่ เทพเจ้าผู้ชาย ศิวลึงค์ นับถือต้นไทร ต้นโพ ม้ามีเขา เทพมีงูจงอางแผ่แม่เบี้ยเหนือศีรษะ นับถือพระอาทิตย์ มีรูปสวัสดิกะ รูปวงล้อรถ
- การทำศพ มีการเผาศพ เก็บขี้เถ้าใส่โกศ หรือฝังศพพร้อมของใช้ และนำศพให้แร้งการกิน แล้วจึงเก็บกระดูกใส่โกศ
สามเณร อานนท์ ธูปน้ำคำ
สมัยพระเวท[แก้]
ดูบทความหลักที่: อายธรรมพระเวท
ประมาณ 2000 ถึง 1500 ปีก่อนค.ศ. ชาวอินโด-อารยันจากเอเชียกลางอพยพเข้ามาในอินเดีย และพบกับอารยธรรมสินธุ ทั้งสองอารยธรรมผสมผสานรวมกันเป็นอารยธรรมพระเวท เป็นอารยธรรมเหล็ก หลักฐานที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมนี้คือพระเวท เป็นวรรณกรรมทางศาสนาในภาษาสันสฤต อันเป็นที่มาของชื่อสมัยนี้
ช่วงแรกของสมัยพระเวท เรียกว่า สมัยฤคเวท เป็นสมัยที่ชาวอารยันเข้ามาในอินเดียใหม่ๆ เป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ คัมภีร์ฤคเวทเป็นพระเวทที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมีจึงปรากฏมียชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท มีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาหลายครั้ง ตามมาด้วยคัมภีร์เสริมอื่นๆ ได้แก่ สามหิตา อรัญญิก อุปนิษัท และพราหมณ์
มหากาพย์ทั้งหลาย ได้แก่ รามายณะและมหาภารตะ ถือกำเนิดในช่วงประมาณพุทธกาล ตอนปลายสมัยพระเวท ชาวอารยันในอินเดียอยู่กันเป็นเผ่า เลี่ยงสัตว์เร่ร่อนแต่ต่อมาเริ่มรู้จักเพาะปลูกตั้งรกราก มี การค้าขายทำให้บางเผ่ารวบรวมตั้งตนเป็นอาณาจักรใหญ่ได้ และเริ่มมีระบบวรรณะ ชัดเจน
มหาชนบท[แก้]
![]() |
พระพุทธรูป ศิลปะคันธาระ |
ปลายสมัยพระเวทประมาณ 600 ปีก่อนค.ศ. ชาวอารยันในอินเดียสามารถรวมตัวเป็นอาณาจักรเล็กๆประมาณ 16 อาณาจักรได้ แต่ละอาณาจักรเรียกว่า มหาชนบท ตามลุ่มแม่น้ำคงคา-สินธุ ชุมชนเมืองเติบโตอีกครั้งหลังจากการล่มสลายของอารยธรรมสินธุ ทั้ง 16 มหาชนบทมีการปกครองที่แตกต่างกัน บางอาณาจักรปกครองโดยกษัตริย์ บางอาณาจักรปกครองโดยสภาเมือง เป็นสาธารณรัฐ
ภาษาที่ใช้ของชาวอารยันในหมู่ชนชั้นสูงคือภาษาสันสกฤต ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปใช้ภาษาบาลี กำเนิดศาสนาสองศาสนา คือ พระพุทธศาสนา โดยเจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ และศาสนาเชน โดยมหาวีระ ทั้งสองศาสนาเน้นเรื่องการละความสุขทางโลก และสอนเป็นภาษาบาลี จึงเข้าถึงผู้คนได้มาก
พ.ศ. 23 พระเจ้าดาริอุสแห่งเปอร์เซียแผ่อิทธิพลเข้ามาในปัญจาบและคันธาระ และใน พ.ศ. 209 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเข้าบุกอินเดียและเอาชนะพระเจ้าปุรุแห่งแคว้นเปารพที่แม่น้ำไฮดาสพ์ (Hydaspes) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ตั้งข้าหลวง (Satrap) ปกครองแคว้นต่างๆ รวมถึงอินเดีย แคว้นคันธาระจึงกลายเป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมระหว่างกรีกและอินเดีย ทำให้เกิดอารยธรรมอินเดีย-กรีก และศิลปะพระพุทธศาสนาแบบกรีก เกิดพระพุทธรูปเป็นครั้งแรกและส่งอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการทางศิลปะของพระพุทธศาสนา
ราชวงศ์โมริยะ (พ.ศ. 220 - พ.ศ. 385)[แก้]
ดูบทความหลักที่: จักรวรรดิมคธ และ ราชวงศ์โมริยะ
สิงห์หัวเสาพระเจ้าอโศก |
ประมาณพ.ศ. 200 แคว้นมคธภายใต้ราชวงศ์นันทาแผ่อิทธิพลไปทั่วอินเดียเหนือกลืนกินมหาชนบททั้งหลายจนหมดแล้ว แต่ในพ.ศ. 223 โกติลยะ จนักขยะ ปราชญ์คนหนึ่งได้ขอเข้ารับราชการกับทางแคว้นมคธ แต่พระเจ้าธนาแห่งนันทาทรงปฏิเสธ ทำให้โกติลยะแค้นจึงยุยงเจ้าชายจันทรคุปต์ โมริยะเข้ายึดบัลลังก์จากราชวงศ์นันทา ตั้งราชวงศ์โมริยะ พระเจ้าจันทรคุปต์ทรงขับพวกกรีกออกจากปัญจาบและคันธาระ และได้ดินแดนจากเปอร์เซียมาบางส่วน และบุกลงไปทางใต้ ยึดได้อินเดียเกือบทั้งทวีป ยกเว้นกลิงครัฐ
ต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมุ่งมั่นมากที่จะยึดกลิงครัฐ ประมาณพ.ศ. 270 จึงทรงทำสงครามอย่างหนักทำให้ชาวแคว้นกลิงครัฐตายเป็นเบือ พระเจ้าอโศกทรงสำนึกและหันเข้าหาพระพุทธศาสนาเพื่อชดเชยบาปที่ทรงเคยก่อ หลักฐานที่สำคัญในสมัยพระเจ้าอโศกคือเสาต่างที่พระเจ้าอโศกทรงให้สลักพระราชโองการลงไป เรียกว่า เสาพระเจ้าอโศก ซึ่งกระจายทั่วอินเดีย พระเจ้าอโศกทรงส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามดินแดนต่างๆ เป็นการแพร่กระจายพระพุทธศาสนาไปยังดินแดนอื่น
ราชวงศ์สาตวหนะ (พ.ศ. 313 - 763)[แก้]
เทวรูปพระวิษณุ ศิลปะโจฬะ |
ประมาณพ.ศ. 300 อิทธิพลของราชวงศ์โมริยะในอินเดียใต้เสื่อมลง ทำให้อาณาจักรต่างๆตั้งตนเป็นอิสระอีกครั้ง ราชวงศ์สาตวหนะ ตั้งประเทศขึ้นในอินเดียกลางใน ราชวงศ์โจฬะ และราชวงศ์ปัณฑยะ
เทวาลัย ศิลปะโจฬะ |
ในทางกลับกัน ราชวงศ์สังกะกลับกดขี่พระพุทธศาสนา ทำให้ชาวพุทธจำนวนมากหนีไปอยู่ที่อาณาจักรกรีก-อินเดีย ประมาณพ.ศ. 400 ราชวงศ์สาตวหนะบุกปาฏลีบุตร และยึดมัธยประเทศได้ ราชวงศสังกะจึงถูกราชวงศ์คันวะ ล้มในพ.ศ. 468 ราชวงศ์คันวะอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกล้มโดยราชวงศ์สาตวหนะในพ.ศ. 517
ประมาณพ.ศ. 500 พวกซิเทียน (Scythians) จากเอเชียกลางบุกเข้าอินเดีย ทำลายอาณาจักรกรีก-อินเดีย และยึดลุ่มแม่น้ำคงคาได้ ชาวอินเดียเรียกว่าซิเทียนว่าพวกสักกะ (Sakas) จนพวกสักกะตั้งอาณาจักรย่อยมากมายเรียกว่ากษัตริย์ตะวันตก (Western Kshatrapas หรือ Western Satraps) ทางตะวันตกของราชวงศ์สาตะวะหนะในแคว้นมัลละ
ราชวงศ์สาตวหนะถูกพวกสักกะรุกรานอย่างหนัก จนพระเจ้าโคตรมีบุตร สัตตการณ์ แห่งสาตวหนะ เอาชนะพวกสักกะได้ในพ.ศ. 621 แต่ต่อมาพ.ศ. พระเจ้ารุทราดามันของพวกสักกะก็เข้าถล่มราชวงศ์สาตวหนะจนย่อยยับ ประมาณพ.ศ. 700 อำนาจของราชวงศ์สาตวหนะเสื่อมลง อาณาจักรต่างๆแยกตัวออกไป
ราชวงศ์กุษาณะ (พ.ศ. 600 - 918)[แก้]
พวกเย่จื่อ (Yuezhi) เป็นชนเผ่าทางตะวันตกของจีน เร่ร่อนอ้อมเทือกเขาหิมาลัยจนมาถึงอินเดียประมาณพ.ศ. 600 กุจุฬา กุษาณะ รวบรวมเผ่าเย่จื่อ หรือพวกกุษาณะ ขึ้นเป็นอาณาจักร พวกกุษาณะพบกับชาวกรีก-อินเดีย จึงรับอารยธรรมกรีกและพระพุทธศาสนา ราชวงศ์กุษาณะเรืองอำนาจสมัยพระเจ้ากนิษกะ พ.ศ. 670 แผ่อิทธิพลไปทั่วทั้งลุ่มแม่น้ำคงคา ขับพวกสักกะลงไปทางใต้
แต่พ.ศ. 783 ราชวงศ์ซาสสานิด (Sassanid dynasty) จากเปอร์เซียเข้าบุกยึดอินเดียและขับพวกกุษาณออกไปทางเหนือ พระเจ้าชาร์ปูร์แห่งเปอร์เซียตั้งข้าหลวงปกครองอินเดีย เรียกว่า กุชานชาห์ (Kushanshah) แปลว่า เจ้าแห่งกุษาณ
ราชวงศ์คุปตะ (พ.ศ. 863 - 1149)[แก้]
ดูบทความหลักที่: ราชวงศ์คุปตะ
![]() |
พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา ศิลปะคุปตะ |
เมื่อไม่มีพวกกุษาณะเป็นโอกาสให้แคว้นมคธเรืองอำนาจอีกครั้งภายใต้พวกลิจฉวี ในพ.ศ. 863 จันทรคุปต์ แต่งงานกับลูกสาวพวกลิจฉวี จึงได้ครองแคว้นมคธภายใต้ราชวงศ์คุปตะ พระโอรสคือพระเจ้าสมุทรคุปต์ แผ่ขยายอิทธิพลคุปตะไปทางใต้แทนที่ราชวงศ์สาตวหนะ ประมาณพ.ศ. 900 ราชวงศ์คุปตะก็ได้อินเดียไปครึ่งทวีป และพ.ศ. 952 พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2 ปราบพวกสักกะในแคว้นมัลละได้หมด
สมัยคุปตะเป็นสมัยที่ศิลปวัฒนธรรมอินเดียรุ่งเรือง เป็นยุคทองของศาสนาฮินดูและพุทธ คัมภีร์ปุราณะก็ถือกำเนิดในสมัยนี้ แต่ราชวงศ์คุปตะก็เสื่อมลง ด้วยการรุกรานจากพวกหุนะ หรือ พวกฮั่น (Huns) หรือ เฮฟทาไลท์ (Hephthalites) จากเอเชียกลาง พวกหุนะบุกทะลุทะลวงเข้ามายึดได้ตั้งแต่เทือกเขาฮินดูกูชถืงแคว้นมัลละ ราชวงศ์คุปตะอ่อนแอลงและแตกออกเป็นอาณาจักรย่อยๆ ขณะที่ราชวงศ์คุปตะยังคงครองแคว้นมคธอยู่แต่สูญเสียการควบคุมอาณาจักรอื่น
ส่วนทางใต้ในพ.ศ. 888 ราชวงศ์คาดัมบา (Kadamba dynasty) เป็นราชวงศ์คันนาดา เป็นพวกฑราวิท ตั้งตนขึ้นมามีอำนาจแทนราชวงศ์สาตวหนะเดิมและต้านทานอินธิพลของราชวงศ์คุปตะได้ นอกจากพวกทมิฬแล้วราชวงศ์คาดัมบาเป็นราชวงศ์ดราวิเดียนราชวงศ์แรกที่ได้ปกครองตนเอง ขณะที่พวกทมิฬก็สูญเสียเอกราขให้แก่ราชวงศ์กัลพร์ (Kalabhras)
การรุกรานของชาวมุสลิม (พ.ศ. 1754 - 1858)[แก้]
มุสลิมเชื้อสายเติร์ก(เอเชียกลาง) ได้ขยายอำนาจเข้ามาปกครองลุ่มแม่น้ำสินธุ ตั้งราชวงศ์ปกครองอินเดีย ให้เมืองเดลีเป็นเมืองหลวง การเผยแผ่ศาสนาของเติร์ก มุ่งใช้วิธีปราบปรามและบีบบังคับ และมีการเก็บภาษีจิซซา (jizya) จากประชาชนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามในอัตราที่สูง
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้มีการหาทางออกจากผู้ที่เลื่อมใสในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ซึ่งได้ประยุกหลักของศาสนาให้เข้ากับศาสนาอิสลาม และเกิดศาสนาใหม่ขึ้น คือศาสนาสิข
จนกระทั่งพวกมุคัลได้ล้มอำนาจสุลต่านแห่งเดลี และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์มุคัล แต่กระนั้นก็มีการก่อกบฏอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งการเข้ามาของจักวรรดิอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม ราชวงศ์มุคลแพ้สงครามกับอังกฤษหลายครั้ง จนกระทั่งตกเป็นรัฐอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 1858
![]() |
มหาตมะ คานธี |
. การต่อสู้เรียกร้องเพื่อเอกราชของอินเดีย
อินเดียผู้เป็นอาณานิคมของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1858 และต่อสู้จนได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1947 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์เอเชีย สรุปได้ ดังนี้
ผู้นำขบวนการชาตินิยมชาวอินดียที่มีบทบาทต่สู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดียจนประสบผลสำร็จ คือ มหาตมะ คานธี โดยใช้วิธีที่เรียกว่า “สัตยเคราะห์” เน้นการต่อสู้โดยสันติวิธี (อหิงสา) เช่น อดอาหารประท้วง หรือไม่ร่วมมือใดๆ เป็นการดื้อแพ่งไม่ยอมปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆ อย่างเงียบๆ
อังกฤษใช้นโยบาย “แบ่งแยกและปกครอง” โดยสนับสนุนให้ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลามจัดตั้ง “สันนิบาตมุสสลิม” (Muslim League) เพื่อคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาวมุสลิม และคานอำนาจกับพรรคคองเกรส (Congress) ของชาวฮินดู เพื่อให้พลังของชาวอินเดียอ่อนลง
บทบาทสำคัญของมหาตมะ คานธี ในปี ค.ศ. 1930 ได้นำประชาชนเดินขบวนประท้วงเพื่อให้ยกเลิกกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมกับชาวอินเดีย ก่อนหน้านั้นได้เรียกร้องให้ชาวอินเดียใช้แต่สินค้าของชาวอินเดีย ไม่ซื้อสินค้าของชาติตะวันตก และขอให้ชาวมุสลิมกับชาวฮินดูสามัคคีปรองดองกัน
อินเดียได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษมีนโยบายให้เอกราชแก่อินเดีย การเจรจาประสบผลสำเร็จและอินเดียได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1947
การแยกประเทศอินเดียกับปากีสถาน ทั้งในช่วงก่อนและหลังได้รับเอกราช เกิดเหตุรุนแรงที่มีการต่อสู้ปะทะกันระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิม มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกประเทศอินเดียกับปากีสถานในที่สุด
อินเดียผู้เป็นอาณานิคมของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1858 และต่อสู้จนได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1947 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์เอเชีย สรุปได้ ดังนี้
ผู้นำขบวนการชาตินิยมชาวอินดียที่มีบทบาทต่สู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดียจนประสบผลสำร็จ คือ มหาตมะ คานธี โดยใช้วิธีที่เรียกว่า “สัตยเคราะห์” เน้นการต่อสู้โดยสันติวิธี (อหิงสา) เช่น อดอาหารประท้วง หรือไม่ร่วมมือใดๆ เป็นการดื้อแพ่งไม่ยอมปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆ อย่างเงียบๆ
อังกฤษใช้นโยบาย “แบ่งแยกและปกครอง” โดยสนับสนุนให้ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลามจัดตั้ง “สันนิบาตมุสสลิม” (Muslim League) เพื่อคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาวมุสลิม และคานอำนาจกับพรรคคองเกรส (Congress) ของชาวฮินดู เพื่อให้พลังของชาวอินเดียอ่อนลง
บทบาทสำคัญของมหาตมะ คานธี ในปี ค.ศ. 1930 ได้นำประชาชนเดินขบวนประท้วงเพื่อให้ยกเลิกกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมกับชาวอินเดีย ก่อนหน้านั้นได้เรียกร้องให้ชาวอินเดียใช้แต่สินค้าของชาวอินเดีย ไม่ซื้อสินค้าของชาติตะวันตก และขอให้ชาวมุสลิมกับชาวฮินดูสามัคคีปรองดองกัน
อินเดียได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษมีนโยบายให้เอกราชแก่อินเดีย การเจรจาประสบผลสำเร็จและอินเดียได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1947
การแยกประเทศอินเดียกับปากีสถาน ทั้งในช่วงก่อนและหลังได้รับเอกราช เกิดเหตุรุนแรงที่มีการต่อสู้ปะทะกันระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิม มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกประเทศอินเดียกับปากีสถานในที่สุด
ผลกระทบจากการเรียกร้องเอกราชของอินเดียที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
การต่อสู้โดยสันติวิธีของมหาตมะ คานธี (สัตยเคราะห์) เป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ หรือการต่อสู้ทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตย โดยหลีกเลี่ยงการนองเลือดหรือจับอาวุธขึ้นต่อสู้
เกิดการแบ่งแยกประเทศปากีสถานออกจากอินเดีย ในปี ค.ศ. 1948 มีสาหตุกิดจากความขัดแย้งในการนับถือศาสนา โดยปากีสถานเป็นประเทศของชาวมุสลิม แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในอินเดียนับถือศาสนาฮินดู
การต่อสู้โดยสันติวิธีของมหาตมะ คานธี (สัตยเคราะห์) เป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ หรือการต่อสู้ทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตย โดยหลีกเลี่ยงการนองเลือดหรือจับอาวุธขึ้นต่อสู้
เกิดการแบ่งแยกประเทศปากีสถานออกจากอินเดีย ในปี ค.ศ. 1948 มีสาหตุกิดจากความขัดแย้งในการนับถือศาสนา โดยปากีสถานเป็นประเทศของชาวมุสลิม แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในอินเดียนับถือศาสนาฮินดู
มีข้อสังเกตุว่า พศ และ คศ ที่เขียนถึงราชวงศ์ มุคัล ดูสับสน
ตอบลบ