วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประวัติศาสตร์อินเดีย

ประวัติศาสตร์อินเดีย อารยธรรมอินเดีย อารยธรรมอินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอายุเก่าแก่ไม่แพ้อารยธรรมแหล่งอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (ประมาณ 2,500-1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ถือว่าเป็นสมัยอารยธรรม “กึ่งก่อนประวัติศาสตร์” เพราะมีการค้นพบหลักฐานจารึกเป็นตัวอักษรโบราณแล้วแต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก และไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอักษรหรือภาษาเขียนจริงหรือไม่ ศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เมืองโมเฮนโจ – ดาโร และเมืองฮารัปปา ริมฝั่งแม่น้ำสินธุประเทศปากีสถานในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเป็นอารยธรรมของชนพื้นเมืองเดิม ที่เรียกว่า “ทราวิฑ” หรือพวกดราวิเดียน (Dravidian)
2. สมัยพระเวท (ประมาณ 1,500-600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-อารยัน (Indo-Aryan) ซึ่ง อพยพมาจากเอเชียกลาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคาโดยขับไล่ชนพื้น เมืองทราวิฑให้ถอยร่นลงไปทางตอนใต้ของอินเดีย สมัยพระเวทแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ หลักฐานที่ทำให้ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์พระเวท” ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากนี้ยังมีบทประพันธ์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ มหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ บางทีจึงเรียกว่าเป็นยุคมหากาพย์
3. สมัยพุทธกาล หรือสมัยก่อนราชวงศ์เมารยะ (Maurya) ประมาณ 600-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงที่อินเดียถือกำเนิดศาสนาที่สำคัญ 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธและศาสนาเชน
4. สมัยจักรวรรดิเมารยะ (Maurya) ประมาณ 321-184 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าจันทรคุปต์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เมารยะได้รวบรวมแว่นแคว้นในดินแดนชมพู ทวีปให้เป็นปึกแผ่นภายใต้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของอินเดีย
สมัยราชวงศ์เมารยะ พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์ให้เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (Asoka) ได้ เผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนทั้งใกล้และไกล รวมทั้งดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินไทยในยุคสมัยที่ยังเป็นอาณาจักรทวารวดี
5. สมัยราชวงศ์กุษาณะ (ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ.320 ) พวกกุษาณะ (Kushana)เป็น ชนต่างชาติที่เข้ามารุกรานและตั้งอาณาจักรปกครองอินเดียทางตอนเหนือ กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้ากนิษกะ รัชสมัยของพระองค์อินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ โดยเฉพาะด้านการแพทย์ นอก จากนั้น ยังทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา (นิกายมหายาน) ให้เจริญรุ่งเรือง โดยจัดส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระศาสนายังจีนและทิเบต มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีศิลปะงดงาม และสร้างเจดีย์ใหญ่ที่เมืองเปชะวาร์
6. สมัยจักรวรรดิคุปตะ (Gupta) ประมาณ ค.ศ.320-550 พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ต้นราชวงศ์คุปตะได้ทรงรวบรวมอินเดียให้เป็นจักรวรรดิอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอดจนการค้าขายกับต่างประเทศ
7. สมัยหลังราชวงศ์คุปตะ หรือยุคกลางของอินเดีย (ค.ศ.550 – 1206) เป็นยุคที่จักรวรรดิแตกแยกเป็นแคว้นหรืออาณาจักรจำนวนมาก ต่างมีราชวงศ์แยกปกครองกันเอง
8. สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี หรืออาณาจักรเดลฮี (ค.ศ. 1206-1526) เป็นยุคที่พวกมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย มีสุลต่านเป็นผู้ปกครองที่เมืองเดลฮี
9. สมัยจักรวรรดิโมกุล (Mughul) ประมาณ ค.ศ. 1526 – 1858 พระเจ้าบาบูร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โมกุลได้รวบรวมอินเดียให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิอิสลามและเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอินเดีย โดยอินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1858กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช (Akbar) ทรงทะนุบำรุงอินเดียให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน และในสมัยของชาห์ เจฮัน (Shah Jahan) ทรงสร้าง “ทัชมาฮัล” (Taj Mahal) ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะอินเดียและเปอร์เซียที่มีความงดงามยิ่ง

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นอารยธรรมในยุคสำริด (ประมาณ 2500 - 1900 ก่อนคริสตกาล) ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน ถือเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก ซึ่งนักโบราณคดีเรียกว่ายุคฮารัปปัน วัฒนธรรมเก่าสุดเริ่มจาก
  1. เมืองอัมรี (Amri) บริเวณปากแม่น้ำสินธุ อายุ 4,000 B.C. พบเครื่องปั้นดินเผาระบายสี คล้ายของเมโสโปเตเมีย
  2. เมืองฮารับปา และโมเหนโจ –ดาโร อายุ 2,600 – 1,900 B.C.
  3. เมืองชุคาร์ และจันหุดาโร อายุ 1,000 – 500 B.C.
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ มีเมืองสำคัญที่ได้รับการขุดค้นแล้ว 2 แห่ง คือ เมืองฮารับปา และโมเหนโจ – ดาโร ทั้งสองเมืองมีอารยธรรมที่เหมือนกันทุกประการ แม้ห่างกัน 350 ไมล์(600 กิโลเมตร) จัดเป็นสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ อินเดีย เพราะพบจารึกจำนวนมาก แต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุถูกโจมตีอย่างรุนแรง พบโครงกระดูกถูกฆ่าตายจำนวนมาก หรืออาจล่มสลายเพราะภัยธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม หรือโรคระบาด หรือเพราะความมั่งคั่ง
ชาวอารยันผู้รุกราน ค่อยๆแพร่จากภาคเหนือไปทางตะวันออก และลงไปทางใต้อย่างช้าๆ ลงไปยังดินแดนคาบสมุทรเดคข่าน (ซึ่งยังเป็นวัฒนธรรมหินใหม่อยู่) นำเอาทองแดง และเหล็กไปเผยแพร่ ทางใต้จึงเปลี่ยนจากหินใหม่เป็นโลหะทันที
เมื่ออารยันตั้งหลักแหล่งในประเทศอินเดียแล้ว จึงเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์อินเดียอย่างแท้จริง

ลักษณะสำคัญของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ[แก้]

ซากเมืองโมเฮนโจดาโร
ประติมากรรมอารยธรรมสินธุ
คือ ความเป็นแบบเดียวกัน (Uniformity) และ เป็นอนุรักษนิยม(Conservation)
  • การวางผังเมือง (City Planning) แผนผังมีระเบียบ งดงาม มีถนนตัดกัน แบ่งเมืองเป็นตารางแยกพื้นที่ใช้สอยออกจากกัน เช่นที่อยู่อาศัย อาคารสาธารณะ ที่อยู่ช่างฝีมือ ยุ้งข้าว ป่าช้า ท่าเรือ พื้นที่ทางศาสนา? แสดงถึงความรู้ด้านวิศวกรรมการสำรวจและเรขาคณิตอย่างดี
  • มีถนน และซอยตัดกันเป็นมุมฉาก บ้านอยู่ 2 ฟาก ถนนมีเสาตะเกียงเป็นระยะๆ
  • การสุขาภิบาล มีประสิทธิภาพมาก ทุกบ้านมีห้องน้ำ มีท่อระบายน้ำเสีย-น้ำดี พบอ่างอาบน้ำใหญ่ เจริญกว่าอารยธรรมอื่นจนสมัยโรมันจึงมีห้องน้ำดีๆเทียบได้
  • มีการสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการเพื่อกันผู้รุกราน มีอาวุธ กระสุนดินเผา
  • การค้าและการขนส่ง ติดต่อเอเชียกลาง อัฟกานิสถาน เปอร์เซีย อินเดียตอนใต้ เพื่อนำวัตถุดิบมาผลิตเครื่องใช้เครื่องประดับ พบภาพเรือบนดวงตรา ลักษณะเรือคล้ายอียิปต์ พบอูฐ พาหนะเทียมเกวียนเทียมวัว มี 2 ล้อ 4 ล้อ พบลูกตุ้มน้ำหนัก
  • การเพาะปลูก ทานข้าวสาลีเป็นอาหารหลัก
  • เลี้ยงสัตว์ สุนัข วัว ควาย หมู แกะ ปลา ไก่ ลา ช้าง แมว
  • ที่อยู่อาศัย ลักษณะอาคารแบบเดียวกันหมด หลังคาแบนราบ มีบ้านใหญ่ บ้านเล็ก ชั้นเดียวและหลายชั้น มีห้องเดียวถึงหลายห้อง สร้างแบบเรียบๆไม่มีการประดับประดา อาคารทำด้วยอิฐเผาไฟ อิฐขนาดเดียวกันทั้งหมด
  • การแต่งกาย ใช้ผ้าฝ้าย และหนังสัตว์ ชาย/หญิง แต่งกายด้วยผ้า 2 ชิ้น ล่างเป็นผ้านุ่งแบบโธติ มีเชือกคาดเอว ท่อนบนเปิดไหล่ขวา มีเครื่องประดับผม และเครื่องประดับอื่นๆ เช่นสร้อย กำไล หวี แหวน เข็มขัด ตุ้มหู ผู้ชายไว้ผมยาว มีสายคาดศีรษะ ผู้หญิงมีทรงผมหลายแบบ
  • ศิลปกรรม ไม่พบศิลปกรรมชิ้นใหญ่เลย เช่น รูปแกะสลักจากหินรูปชายมีเครา(อาจเป็นนักบวช) สูง 7 นิ้ว ที่เมืองโมเหนโจ -ดาโร รูปหญิงสาวในท่าร่ายรำ ทำด้วยสำริด หน้าตาพื้นเมือง รูปสลักหินผู้ชายคล้ายศิลปะกรีกโบราณ รูปปั้นดินเผาชาย/หญิง รูปปั้นสัตว์ เช่น วัวตัวผู้ ควาย สุนัข แกะ ช้าง แรด หมู ลิง เต่า นก พบเกวียนมีล้อ เกวียนเทียมวัว เป็นของเด็กเล่น พบภาชนะดินเผา ภาชนะโลหะ
  • พบนกหวีด พบลูกเต๋า พบของเขย่าเด็กเล่น พบช้อนดินเผา
  • โดยเฉพาะตราประทับ พบมากกว่า 2,000 อัน สลักจากหิน บนตรามีตัวอักษรและมีภาพสัตว์ต่างๆ ภาพสัตว์ผสมหมีกึ่งคน สัตว์ในจินตนาการ 3-6 หัว ภาพคนใต้ต้นไม้มีสัตว์ล้อมรอบ อาจเป็นต้นเค้าพระศิวะต่อมา ภาพต้นโพธิ์ ภาพวัวหน้าแท่นบูชาหรือรางหญ้า ภาพผู้หญิงกับต้นไม้(ยักษิณี) ภาพเรือ ดวงตราสลักฝีมือประณีตมาก ถูกต้องตามลักษณะธรรมชาติ อาจเป็นดวงตราบริษัทการค้า หรือของพ่อค้าแต่ละคน หรือของคนสำคัญประจำตัว หรือเครื่องรางของขลัง
  • ศาสนา ไม่พบโบสถ์วิหารใหญ่โต แต่ชาวสินธุคงนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เช่น เทพีเจ้าแม่ เทพเจ้าผู้ชาย ศิวลึงค์ นับถือต้นไทร ต้นโพ ม้ามีเขา เทพมีงูจงอางแผ่แม่เบี้ยเหนือศีรษะ นับถือพระอาทิตย์ มีรูปสวัสดิกะ รูปวงล้อรถ
  • การทำศพ มีการเผาศพ เก็บขี้เถ้าใส่โกศ หรือฝังศพพร้อมของใช้ และนำศพให้แร้งการกิน แล้วจึงเก็บกระดูกใส่โกศ
สามเณร อานนท์ ธูปน้ำคำ

สมัยพระเวท[แก้]

ดูบทความหลักที่: อายธรรมพระเวท
ประมาณ 2000 ถึง 1500 ปีก่อนค.ศ. ชาวอินโด-อารยันจากเอเชียกลางอพยพเข้ามาในอินเดีย และพบกับอารยธรรมสินธุ ทั้งสองอารยธรรมผสมผสานรวมกันเป็นอารยธรรมพระเวท เป็นอารยธรรมเหล็ก หลักฐานที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมนี้คือพระเวท เป็นวรรณกรรมทางศาสนาในภาษาสันสฤต อันเป็นที่มาของชื่อสมัยนี้
ช่วงแรกของสมัยพระเวท เรียกว่า สมัยฤคเวท เป็นสมัยที่ชาวอารยันเข้ามาในอินเดียใหม่ๆ เป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ คัมภีร์ฤคเวทเป็นพระเวทที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมีจึงปรากฏมียชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท มีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาหลายครั้ง ตามมาด้วยคัมภีร์เสริมอื่นๆ ได้แก่ สามหิตา อรัญญิก อุปนิษัท และพราหมณ์
มหากาพย์ทั้งหลาย ได้แก่ รามายณะและมหาภารตะ ถือกำเนิดในช่วงประมาณพุทธกาล ตอนปลายสมัยพระเวท ชาวอารยันในอินเดียอยู่กันเป็นเผ่า เลี่ยงสัตว์เร่ร่อนแต่ต่อมาเริ่มรู้จักเพาะปลูกตั้งรกราก มี การค้าขายทำให้บางเผ่ารวบรวมตั้งตนเป็นอาณาจักรใหญ่ได้ และเริ่มมีระบบวรรณะ ชัดเจน

มหาชนบท[แก้]

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ชมพูทวีปดูบทความหลักที่: มหาชนบทพระพุทธศาสนา และ ศาสนาเชน
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
พระพุทธรูป ศิลปะคันธาระ
ปลายสมัยพระเวทประมาณ 600 ปีก่อนค.ศ. ชาวอารยันในอินเดียสามารถรวมตัวเป็นอาณาจักรเล็กๆประมาณ 16 อาณาจักรได้ แต่ละอาณาจักรเรียกว่า มหาชนบท ตามลุ่มแม่น้ำคงคา-สินธุ ชุมชนเมืองเติบโตอีกครั้งหลังจากการล่มสลายของอารยธรรมสินธุ ทั้ง 16 มหาชนบทมีการปกครองที่แตกต่างกัน บางอาณาจักรปกครองโดยกษัตริย์ บางอาณาจักรปกครองโดยสภาเมือง เป็นสาธารณรัฐ
ภาษาที่ใช้ของชาวอารยันในหมู่ชนชั้นสูงคือภาษาสันสกฤต ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปใช้ภาษาบาลี กำเนิดศาสนาสองศาสนา คือ พระพุทธศาสนา โดยเจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ และศาสนาเชน โดยมหาวีระ ทั้งสองศาสนาเน้นเรื่องการละความสุขทางโลก และสอนเป็นภาษาบาลี จึงเข้าถึงผู้คนได้มาก
พ.ศ. 23 พระเจ้าดาริอุสแห่งเปอร์เซียแผ่อิทธิพลเข้ามาในปัญจาบและคันธาระ และใน พ.ศ. 209 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเข้าบุกอินเดียและเอาชนะพระเจ้าปุรุแห่งแคว้นเปารพที่แม่น้ำไฮดาสพ์ (Hydaspes) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ตั้งข้าหลวง (Satrap) ปกครองแคว้นต่างๆ รวมถึงอินเดีย แคว้นคันธาระจึงกลายเป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมระหว่างกรีกและอินเดีย ทำให้เกิดอารยธรรมอินเดีย-กรีก และศิลปะพระพุทธศาสนาแบบกรีก เกิดพระพุทธรูปเป็นครั้งแรกและส่งอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการทางศิลปะของพระพุทธศาสนา

ราชวงศ์โมริยะ (พ.ศ. 220 - พ.ศ. 385)[แก้]

ดูบทความหลักที่: จักรวรรดิมคธ และ ราชวงศ์โมริยะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระเจ้าอโศกมหาราช
สิงห์หัวเสาพระเจ้าอโศก
ประมาณพ.ศ. 200 แคว้นมคธภายใต้ราชวงศ์นันทาแผ่อิทธิพลไปทั่วอินเดียเหนือกลืนกินมหาชนบททั้งหลายจนหมดแล้ว แต่ในพ.ศ. 223 โกติลยะ จนักขยะ ปราชญ์คนหนึ่งได้ขอเข้ารับราชการกับทางแคว้นมคธ แต่พระเจ้าธนาแห่งนันทาทรงปฏิเสธ ทำให้โกติลยะแค้นจึงยุยงเจ้าชายจันทรคุปต์ โมริยะเข้ายึดบัลลังก์จากราชวงศ์นันทา ตั้งราชวงศ์โมริยะ พระเจ้าจันทรคุปต์ทรงขับพวกกรีกออกจากปัญจาบและคันธาระ และได้ดินแดนจากเปอร์เซียมาบางส่วน และบุกลงไปทางใต้ ยึดได้อินเดียเกือบทั้งทวีป ยกเว้นกลิงครัฐ
ต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมุ่งมั่นมากที่จะยึดกลิงครัฐ ประมาณพ.ศ. 270 จึงทรงทำสงครามอย่างหนักทำให้ชาวแคว้นกลิงครัฐตายเป็นเบือ พระเจ้าอโศกทรงสำนึกและหันเข้าหาพระพุทธศาสนาเพื่อชดเชยบาปที่ทรงเคยก่อ หลักฐานที่สำคัญในสมัยพระเจ้าอโศกคือเสาต่างที่พระเจ้าอโศกทรงให้สลักพระราชโองการลงไป เรียกว่า เสาพระเจ้าอโศก ซึ่งกระจายทั่วอินเดีย พระเจ้าอโศกทรงส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามดินแดนต่างๆ เป็นการแพร่กระจายพระพุทธศาสนาไปยังดินแดนอื่น

ราชวงศ์สาตวหนะ (พ.ศ. 313 - 763)[แก้]

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทวสถานอินเดียใต้ โจฬะ
เทวรูปพระวิษณุ ศิลปะโจฬะ
ประมาณพ.ศ. 300 อิทธิพลของราชวงศ์โมริยะในอินเดียใต้เสื่อมลง ทำให้อาณาจักรต่างๆตั้งตนเป็นอิสระอีกครั้ง ราชวงศ์สาตวหนะ ตั้งประเทศขึ้นในอินเดียกลางใน ราชวงศ์โจฬะ และราชวงศ์ปัณฑยะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทวสถานอินเดียใต้ โจฬะ
เทวาลัย ศิลปะโจฬะ
ส่วนราชวงศ์โมริยะเองก็ถูกโค่นไปในพ.ศ. 358 โดยราชวงศ์สังกะ อำนาจของแคว้นมคธอ่อนแอลง พระเจ้าเดเมตริอุสที่ 1 แห่งแบคเทรีย เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์โมริยะจึงนำทัพเข้าบุกอินเดีย ตั้งอาณาจักรกรีกขึ้นในแคว้นปัญจาบ ต่อมาพระเจ้าเมนันเดอร์ (พระเจ้ามิลินท์) สามารถยกทัพบุกปาฏลีบุตรเมืองหลวงของแคว้นมคธได้ อาณาจักรกรีก-อินเดียรุ่งเรืองภายใต้พระเจ้าเมนันเดอร์ ศิลปะแบบกรีผสมผสานกับพระพุทธศาสนากลายเป็นพระพุทธรูปองค์แรก
ในทางกลับกัน ราชวงศ์สังกะกลับกดขี่พระพุทธศาสนา ทำให้ชาวพุทธจำนวนมากหนีไปอยู่ที่อาณาจักรกรีก-อินเดีย ประมาณพ.ศ. 400 ราชวงศ์สาตวหนะบุกปาฏลีบุตร และยึดมัธยประเทศได้ ราชวงศสังกะจึงถูกราชวงศ์คันวะ ล้มในพ.ศ. 468 ราชวงศ์คันวะอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกล้มโดยราชวงศ์สาตวหนะในพ.ศ. 517
ประมาณพ.ศ. 500 พวกซิเทียน (Scythians) จากเอเชียกลางบุกเข้าอินเดีย ทำลายอาณาจักรกรีก-อินเดีย และยึดลุ่มแม่น้ำคงคาได้ ชาวอินเดียเรียกว่าซิเทียนว่าพวกสักกะ (Sakas) จนพวกสักกะตั้งอาณาจักรย่อยมากมายเรียกว่ากษัตริย์ตะวันตก (Western Kshatrapas หรือ Western Satraps) ทางตะวันตกของราชวงศ์สาตะวะหนะในแคว้นมัลละ
ราชวงศ์สาตวหนะถูกพวกสักกะรุกรานอย่างหนัก จนพระเจ้าโคตรมีบุตร สัตตการณ์ แห่งสาตวหนะ เอาชนะพวกสักกะได้ในพ.ศ. 621 แต่ต่อมาพ.ศ. พระเจ้ารุทราดามันของพวกสักกะก็เข้าถล่มราชวงศ์สาตวหนะจนย่อยยับ ประมาณพ.ศ. 700 อำนาจของราชวงศ์สาตวหนะเสื่อมลง อาณาจักรต่างๆแยกตัวออกไป

ราชวงศ์กุษาณะ (พ.ศ. 600 - 918)[แก้]

พวกเย่จื่อ (Yuezhi) เป็นชนเผ่าทางตะวันตกของจีน เร่ร่อนอ้อมเทือกเขาหิมาลัยจนมาถึงอินเดียประมาณพ.ศ. 600 กุจุฬา กุษาณะ รวบรวมเผ่าเย่จื่อ หรือพวกกุษาณะ ขึ้นเป็นอาณาจักร พวกกุษาณะพบกับชาวกรีก-อินเดีย จึงรับอารยธรรมกรีกและพระพุทธศาสนา ราชวงศ์กุษาณะเรืองอำนาจสมัยพระเจ้ากนิษกะ พ.ศ. 670 แผ่อิทธิพลไปทั่วทั้งลุ่มแม่น้ำคงคา ขับพวกสักกะลงไปทางใต้
แต่พ.ศ. 783 ราชวงศ์ซาสสานิด (Sassanid dynasty) จากเปอร์เซียเข้าบุกยึดอินเดียและขับพวกกุษาณออกไปทางเหนือ พระเจ้าชาร์ปูร์แห่งเปอร์เซียตั้งข้าหลวงปกครองอินเดีย เรียกว่า กุชานชาห์ (Kushanshah) แปลว่า เจ้าแห่งกุษาณ

ราชวงศ์คุปตะ (พ.ศ. 863 - 1149)[แก้]

ดูบทความหลักที่: ราชวงศ์คุปตะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระพุทธรูป ปางปฐมเทศนา
พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา ศิลปะคุปตะ
เมื่อไม่มีพวกกุษาณะเป็นโอกาสให้แคว้นมคธเรืองอำนาจอีกครั้งภายใต้พวกลิจฉวี ในพ.ศ. 863 จันทรคุปต์ แต่งงานกับลูกสาวพวกลิจฉวี จึงได้ครองแคว้นมคธภายใต้ราชวงศ์คุปตะ พระโอรสคือพระเจ้าสมุทรคุปต์ แผ่ขยายอิทธิพลคุปตะไปทางใต้แทนที่ราชวงศ์สาตวหนะ ประมาณพ.ศ. 900 ราชวงศ์คุปตะก็ได้อินเดียไปครึ่งทวีป และพ.ศ. 952 พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2 ปราบพวกสักกะในแคว้นมัลละได้หมด
สมัยคุปตะเป็นสมัยที่ศิลปวัฒนธรรมอินเดียรุ่งเรือง เป็นยุคทองของศาสนาฮินดูและพุทธ คัมภีร์ปุราณะก็ถือกำเนิดในสมัยนี้ แต่ราชวงศ์คุปตะก็เสื่อมลง ด้วยการรุกรานจากพวกหุนะ หรือ พวกฮั่น (Huns) หรือ เฮฟทาไลท์ (Hephthalites) จากเอเชียกลาง พวกหุนะบุกทะลุทะลวงเข้ามายึดได้ตั้งแต่เทือกเขาฮินดูกูชถืงแคว้นมัลละ ราชวงศ์คุปตะอ่อนแอลงและแตกออกเป็นอาณาจักรย่อยๆ ขณะที่ราชวงศ์คุปตะยังคงครองแคว้นมคธอยู่แต่สูญเสียการควบคุมอาณาจักรอื่น
ส่วนทางใต้ในพ.ศ. 888 ราชวงศ์คาดัมบา (Kadamba dynasty) เป็นราชวงศ์คันนาดา เป็นพวกฑราวิท ตั้งตนขึ้นมามีอำนาจแทนราชวงศ์สาตวหนะเดิมและต้านทานอินธิพลของราชวงศ์คุปตะได้ นอกจากพวกทมิฬแล้วราชวงศ์คาดัมบาเป็นราชวงศ์ดราวิเดียนราชวงศ์แรกที่ได้ปกครองตนเอง ขณะที่พวกทมิฬก็สูญเสียเอกราขให้แก่ราชวงศ์กัลพร์ (Kalabhras)

การรุกรานของชาวมุสลิม (พ.ศ. 1754 - 1858)[แก้]

มุสลิมเชื้อสายเติร์ก(เอเชียกลาง) ได้ขยายอำนาจเข้ามาปกครองลุ่มแม่น้ำสินธุ ตั้งราชวงศ์ปกครองอินเดีย ให้เมืองเดลีเป็นเมืองหลวง การเผยแผ่ศาสนาของเติร์ก มุ่งใช้วิธีปราบปรามและบีบบังคับ และมีการเก็บภาษีจิซซา (jizya) จากประชาชนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามในอัตราที่สูง
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้มีการหาทางออกจากผู้ที่เลื่อมใสในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ซึ่งได้ประยุกหลักของศาสนาให้เข้ากับศาสนาอิสลาม และเกิดศาสนาใหม่ขึ้น คือศาสนาสิข
จนกระทั่งพวกมุคัลได้ล้มอำนาจสุลต่านแห่งเดลี และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์มุคัล แต่กระนั้นก็มีการก่อกบฏอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งการเข้ามาของจักวรรดิอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม ราชวงศ์มุคลแพ้สงครามกับอังกฤษหลายครั้ง จนกระทั่งตกเป็นรัฐอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 1858
Gandhi 1944.jpg
มหาตมะ คานธี
การต่อสู้เรียกร้องเพื่อเอกราชของอินเดีย
อินเดียผู้เป็นอาณานิคมของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1858 และต่อสู้จนได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1947 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์เอเชีย สรุปได้ ดังนี้
 ผู้นำขบวนการชาตินิยมชาวอินดียที่มีบทบาทต่สู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดียจนประสบผลสำร็จ คือ มหาตมะ คานธี โดยใช้วิธีที่เรียกว่า “สัตยเคราะห์” เน้นการต่อสู้โดยสันติวิธี (อหิงสา) เช่น อดอาหารประท้วง หรือไม่ร่วมมือใดๆ เป็นการดื้อแพ่งไม่ยอมปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆ อย่างเงียบๆ
 อังกฤษใช้นโยบาย “แบ่งแยกและปกครอง” โดยสนับสนุนให้ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลามจัดตั้ง “สันนิบาตมุสสลิม” (Muslim League) เพื่อคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาวมุสลิม และคานอำนาจกับพรรคคองเกรส (Congress) ของชาวฮินดู เพื่อให้พลังของชาวอินเดียอ่อนลง
บทบาทสำคัญของมหาตมะ คานธี ในปี ค.ศ. 1930 ได้นำประชาชนเดินขบวนประท้วงเพื่อให้ยกเลิกกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมกับชาวอินเดีย ก่อนหน้านั้นได้เรียกร้องให้ชาวอินเดียใช้แต่สินค้าของชาวอินเดีย ไม่ซื้อสินค้าของชาติตะวันตก และขอให้ชาวมุสลิมกับชาวฮินดูสามัคคีปรองดองกัน 
 อินเดียได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษมีนโยบายให้เอกราชแก่อินเดีย การเจรจาประสบผลสำเร็จและอินเดียได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1947
 การแยกประเทศอินเดียกับปากีสถาน ทั้งในช่วงก่อนและหลังได้รับเอกราช เกิดเหตุรุนแรงที่มีการต่อสู้ปะทะกันระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิม มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกประเทศอินเดียกับปากีสถานในที่สุด
ผลกระทบจากการเรียกร้องเอกราชของอินเดียที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
การต่อสู้โดยสันติวิธีของมหาตมะ คานธี (สัตยเคราะห์) เป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ หรือการต่อสู้ทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตย โดยหลีกเลี่ยงการนองเลือดหรือจับอาวุธขึ้นต่อสู้
 เกิดการแบ่งแยกประเทศปากีสถานออกจากอินเดีย ในปี ค.ศ. 1948 มีสาหตุกิดจากความขัดแย้งในการนับถือศาสนา โดยปากีสถานเป็นประเทศของชาวมุสลิม แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในอินเดียนับถือศาสนาฮินดู

1 ความคิดเห็น:

  1. มีข้อสังเกตุว่า พศ และ คศ ที่เขียนถึงราชวงศ์ มุคัล ดูสับสน

    ตอบลบ